#หุ้น


[Vision Exclusive] PIMO ผลิตมอเตอร์ไฮสปีด  รับออเดอร์สหรัฐฯ ทะลัก!

[Vision Exclusive] PIMO ผลิตมอเตอร์ไฮสปีด รับออเดอร์สหรัฐฯ ทะลัก!

           หุ้นวิชั่น - PIMO เร่งเครื่องผลิตมอเตอร์เต็มกำลัง 100% รับออเดอร์สหรัฐฯ ทะลัก!ด้านผู้บริหาร "วสันต์ อิทธิโรจนกุล" ส่งซิกออเดอร์ถึงเดือนพฤษภาคมโต 5% เดินเกมเจาะตลาด Niche Market ปั๊มมาร์จิ้นเต็มสปีด เกาะติดนโยบายภาษีต่างแดน ปรับเกมรุกฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศ            นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO ผู้ประกอบธุรกิจหลักด้านการผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องปรับอากาศ (Air Conditioning Motor), มอเตอร์สำหรับอุตสาหกรรมทั่วไป (Induction Motor), เครื่องสูบน้ำ, ปั๊มหอยโข่ง, มอเตอร์สำหรับสระว่ายน้ำ และมอเตอร์สำหรับปั๊มบ้าน (Submersible Pump, Pool Spa Pump และ Home Pump) เปิดเผยกับทีมข่าว 'หุ้นวิชั่น' ว่า ขณะนี้บริษัทได้รับคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) จากลูกค้าในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2568            โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ออเดอร์เพิ่มขึ้นประมาณ 5% เนื่องจากลูกค้าต้องการหลีกเลี่ยงการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น ๆ และรับมือกับการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทั้งนี้ บริษัทได้เร่งเดินเครื่องผลิตเต็มกำลัง 100% เพื่อส่งมอบสินค้าให้ทันตามกำหนด            หลังจากเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป บริษัทจะจับตาทิศทางนโยบายการจัดเก็บภาษีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เนื่องจากลูกค้าสำคัญของ PIMO ส่วนใหญ่อยู่ในตลาดอเมริกา            สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มอัตราการทำกำไร (มาร์จิ้น) มากกว่าการเร่งยอดขาย โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มสินค้าหมุนเวียนและสินค้ามาร์จิ้นสูง (High Margin) อาทิ มอเตอร์ BLDC หรือมอเตอร์ชนิดพิเศษ ซึ่งตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และมีศักยภาพในการทำกำไรสูงในระยะยาว            นายวสันต์ กล่าวต่อว่า บริษัทคาดการณ์ยอดขายในปี 2568 จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้การจำหน่ายสินค้าในประเทศยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ขณะที่ตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักของบริษัท ยังมีความไม่แน่นอนจากแนวโน้มการเรียกเก็บภาษีนำเข้า บริษัทจึงอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมเตรียมปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการทำกำไรในระยะยาว            อนึ่งปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ที่ 1,199.14 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 113.56 ล้านบาท รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] ADVANC-TRUE รับอานิสงส์ประมูลคลื่น

[Vision Exclusive] ADVANC-TRUE รับอานิสงส์ประมูลคลื่น

           หุ้นวิชั่น - บอร์ด กสทช. เคาะวันประมูลคลื่นความถี่ 29 มิ.ย.นี้ รวม 4 ย่านหลัก ได้แก่ 850, 1500, 2100 และ 2300 MHz นักวิเคราะห์มองการแข่งขันไม่รุนแรง หนุน ADVANC และ TRUE ได้อานิสงส์จากต้นทุนลดลงหลายพันล้านบาทต่อปี โดย TRUE มีลุ้นพลิกกำไร-จ่ายปันผล แนะ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 15 บาท ส่วน ADVANC แนะ "ถือ" เป้า 294 บาท ลุ้น Upside เพิ่มจากการประมูล 5–10%            ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (บอร์ด กสทช.) วันนี้ (21 เม.ย.2568) มีมติให้ประมูลคลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ที่จะสิ้นสุดระยะเวลาสัมปทาน 4 คลื่น คือ ย่าน 850 เมกะเฮิรตซ์ (MHz), 1500 MHz, 2100 MHz (เฉพาะที่จะสิ้นสุดปี 2568) และ 2300 MHz โดยได้กำหนดวันประมูลคลื่นความถี่เป็นวันที่ 29 มิ.ย. 2568            ทั้งนี้ราคาเริ่มต้นในการประมูล คลื่น 850 MHz อยู่ที่  7,738.23 ล้านบาท, คลื่น 1500  MHz อยู่ที่ 1,057.49 ล้านบาท, คลื่น 2100 MHz อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท และคลื่น 2300 MHz อยู่ที่ 2,596.15 ล้านบาท            นักวิเคราะห์ฯ มองการแข่งขันจะไม่รุนแรง เป็นบวกทั้ง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) (ADVANC) และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) คาดหนุน Upside กำไรปีนี้            นายกิจพัฒน วงษ์เมตตา นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า การประมูลคลื่นมือถือดังกล่าวคาดเป็นบวกต่อ ADVANC และ TRUE หากอิงจากราคาที่เคาะออกมา จะถูกกว่าค่าเช่าคลื่นกับบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) โดย ADVANC จ่ายค่าเช่าคลื่น 2100 MHz ปีละ 3,900 ล้านบาท คาดช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ราวปีละ 2,000 ล้านบาท ในขณะที่ TRUE จ่ายค่าเช่าคลื่น 850MHz อยู่ราวปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท และ 2300MHz ปีละ 4,000-5,000 ล้านบาท คาดช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ปีละกว่าหลายพันล้านบาท เนื่องจาก มองว่า TRUE น่าจะไม่เข้าประมูลคลื่น 850 MHz และน่าจะนำเงินดังกล่าวมาชำระค่าคลื่น 2300 MHz แทน            ทั้งนี้มองการแข่งขัน หรือการประมูลคลื่นความถี่ดังกล่าวจะไม่รุนแรงมาก สามารถแบ่งใบอนุญาตกันได้ลงตัว โดยมีคลื่นที่อยู่ในความต้องการของทั้งสองค่ายมือถือ คือ 2100 MHz และ 2300 MHz ขณะที่ 850 MHz ที่ TRUE เช่าอยู่กับ NT นั้น มองว่าหลังจากควบรวมกับดีแทค ทำให้คลื่นความถี่ต่ำมีค่อนข้างมากแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต่ออายุสัญญาคลื่นความถี่ดังกล่าว            สำหรับความพร้อมด้านฐานะทางการเงิน มอง ADVANC ไม่น่ามีปัญหา และ TRUE น่าจะมีทุนสนับสนุนอยู่แล้ว            อย่างไรก็ตามคงคำแนะนำ ถือ ADVANC ราคาเป้าหมาย 294 บาท Outlook ดูดี แต่ราคาหุ้นเริ่มสะท้อนปัจจัยบวกไปมากแล้ว บวกกับ P/E ค่อนข้างสูง ทำให้คาดว่าจะมี Upside จากการประมูลคลื่นในครั้งนี้ราว 5-10%            ขณะที่ TRUE มองมี Story ในแง่ของการพลิกมีกำไรสุทธิ ทำให้มีลุ้นว่าปีนี้ และปีหน้าจะจ่ายปันผลได้หรือไม่ และคาดมี Upside จากการประมูลคลื่นฯ มากถึง 30-40% จากต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลงหลายพันล้านบาท แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 15 บาท รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] A5 อสังหาฯ ไฮเอนด์คึก  ลูกค้าระดับบนแห่ Walk-in

[Vision Exclusive] A5 อสังหาฯ ไฮเอนด์คึก ลูกค้าระดับบนแห่ Walk-in

          หุ้นวิชั่น - A5 อสังหาฯ ไฮเอนด์คึก! ลูกค้าระดับบนแห่ Walk-in โครงการแนวราบหรู “CINQ ROYAL” ย่านบางนาพรึบ ชี้ 18 ยูนิตสุดพรีเมียม ด้านบอสใหญ่ "ศุภโชค ปัญจทรัพย์" เชื่อหลัง LTV ผ่อนคลาย อสังหาริมทรัพย์โตสนั่น เปิดเกมเจาะกลุ่ม Niche Market พร้อมเสิร์ฟทำเลศักยภาพสูง           นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 เปิดเผยกับทีมข่าว 'หุ้นวิชั่น' ว่า การผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) โดยคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) คาดว่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อผู้บริโภคทั้งกลุ่มที่ต้องการซื้อบ้านหลังแรกและหลังที่สอง และจะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมให้กลับมาคึกคักมากขึ้น           อย่างไรก็ตาม นายศุภโชคระบุว่า สำหรับ A5 ซึ่งเน้นเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) โดยเฉพาะลูกค้าระดับบน การผ่อนคลายเกณฑ์ LTV ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากพฤติกรรมของลูกค้าส่วนใหญ่มักใช้เงินสดในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ โดยมีสัดส่วนการขอสินเชื่อประมาณ 30% ขณะที่อีก 60-70% เป็นการชำระด้วยเงินสด           บริษัทมองว่าแนวโน้มลูกค้าสนใจโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น หนุนยอด Walk-in โครงการหรู “CINQ ROYAL” บางนา คึกคัก สำหรับทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัท ปัจจุบันพบว่า มีจำนวนผู้เข้าชมโครงการแนวราบของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนจากการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมสูง หันมาให้ความสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น โดยเฉพาะโครงการ CINQ ROYAL The Eighteen Bangna KM.7 ซึ่งเป็นโครงการระดับลักชัวรี จำนวนจำกัดเพียง 18 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านบางนา ใกล้แลนด์มาร์กสำคัญหลายแห่ง ทำให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าระดับบนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มียอด Walk-in เข้าชมโครงการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

[Vision Exclusive] จับตาบอร์ด OR สรุปซื้อหุ้นคืน?

[Vision Exclusive] จับตาบอร์ด OR สรุปซื้อหุ้นคืน?

          หุ้นวิชั่น - OR เตรียมนำเรื่องซื้อหุ้นคืน เข้าบอร์ดวันที่ (22 เมษายน 68) นี้ พิจารณาความเป็นไปได้ และความพร้อม แย้มมีเงินสในมือเพียงพอ แต่ต้องพิจารณาเรื่อง Free Float ประกอบด้วย หวังเกิด Free Float เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด เดินหน้าเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ จัดทัพโปรโมชั่นกระตุ้นยอด ล่าสุดใช้ “บลูพลัส” รับส่วนลดสุดคุ้มจัดเต็มตั้งแต่ลิตรแรกที่เติม นานถึง 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568           ม.ล.ปีกทอง ทองใหญ่ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมในเรื่องการซื้อหุ้นคืน โดยคาดว่าจะมีการนำเสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในวันที่ 22 เมษายน 2568 ซึ่งการตัดสินใจใด ๆ จะต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย           สำหรับภาพรวม ปริมาณการขายน้ำมันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปัจจัยหลายด้านที่ต้องติดตาม ทั้งพฤติกรรมการเดินทางในช่วงเทศกาล ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมถึงสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม OR ให้ความสำคัญกับการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) อย่างชัดเจน           ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวแคมเปญส่งเสริมการขาย "บลูพลัส รับส่วนลดทันที!" สำหรับสมาชิกบลูพลัสที่เติมน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิด ณ สถานีบริการ พีทีที สเตชั่น ที่ร่วมรายการทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน – 30 มิถุนายน 2568 โดยมอบสิทธิพิเศษดังนี้: น้ำมันเกรดมาตรฐาน XTRA SAVE (เบนซิน, แก๊สโซฮอล์ 95, 91, E20, E85): รับส่วนลด 50 สตางค์/ลิตร ขณะที่ น้ำมันเกรดพรีเมียม SUPER POWER แก๊สโซฮอล์ 95: รับส่วนลดสูงสุดถึง 3 บาท/ลิตร (พัฒนาโดยบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำจากเยอรมนี พร้อมสารเพิ่มพลัง “Super Booster”)           นอกจากนี้ เมื่อชำระค่าน้ำมันผ่าน xplORe Wallet สมาชิกจะได้รับแต้ม บลูพลัส x2 โดยบริษัทคาดว่ามาตรการส่งเสริมการขายดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของ OR ได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งปีแรก           บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุถึง OR ว่า ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากเดิม “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายเดิมที่ 12.50 บาท อิง 2025E PER ที่ 17.2x (-2.75SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) เชื่อว่าค่าการตลาด (marketing margin) ได้ผ่านจุดต่ำสุดระยะสั้นไปแล้วในเดือน ม.ค.2025 และอยู่ในเส้นทางการฟื้นตัวแล้ว ในขณะเดียวกัน กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (oil fuel fund) ก็มีสถานะที่ดีขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง บวกกับทิศทางราคาน้ำมันที่ค่อนข้างทรงตัว ทำให้เชื่อว่า OR จะมีแรงกดดันที่น้อยลงจากภาครัฐต่อแนวโน้ม marketing margin ในระยะสั้น           ในขณะเดียวกัน เชื่อว่าบริษัทน่าจะเห็นปริมาณขายน้ำมันในประเทศที่เติบโต YoY ตามอุปสงค์น้ำมันอากาศยาน (jet fuel) ที่สูงขึ้นตามอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568/2569 ที่ 8.7/9.4 พันล้านบาท เทียบกับ 7.7 พันล้านบาทในปี 2567 โดยมีสมมติฐานที่สำคัญ คือชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาได้สะท้อนปัจจัยเสี่ยงไปมากแล้ว ราคาปัจจุบันจะสะท้อน 2025E PER ที่ไม่แพงที่ 14.7x (ประมาณ -3.3SD ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER 5 ปีย้อนหลังของกลุ่มค้าปลีก) อีกทั้ง าชื่อว่าระดับราคาน้ำมันที่ต่ำในปัจจุบันน่าจะช่วยลดความกดดันจาก regulatory risk ที่เป็นไปได้อีกด้วย รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

abs

มั่นใจ เต็มลิตร ทุกปั๊ม

KBANK กำไรดีกว่าคาด หุ้นพื้นฐานดีปันผลเด่น

KBANK กำไรดีกว่าคาด หุ้นพื้นฐานดีปันผลเด่น

          หุ้นวิชั่น - KBANK โชว์ฟอร์มแกร่ง Q1/68 กำไรสุทธิ 13,791 ลบ. ดีกว่าคาด! แม้รายได้ดอกเบี้ยลดลงจากแรงกดดันตลาด แต่รายได้ค่าธรรมเนียม-การลงทุนโตแรง ดันกำไร เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ ขณะที่โบรกมองแนวโน้มทั้งปีสดใส ปี 2568 งบดีต่อเนื่อง ถือเป็นธนาคารที่มีพื้นฐานดี จ่ายปันผลสูง เชียร์ “ซื้อ” พร้อมแจกปันผลพิเศษอีก 2.50 บาทต่อหุ้น (XD 15 พ.ค. 68)           บมจ.ธนาคารกสิกรไทย KBANK และบริษัทย่อย รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ยังคงรักษาความแข็งแกร่ง แม้เผชิญความท้าทายจากภาวะดอกเบี้ยและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารอยู่ที่ 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า           รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2,761 ล้านบาท หรือ 7.23% สะท้อนแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในตลาด อย่างไรก็ตาม ธนาคารสามารถรักษา อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ (NIM) ไว้ที่ระดับ 3.41% ผ่านการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง ในขณะเดียวกัน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ขยายตัวได้ดี เพิ่มขึ้น 1,826 ล้านบาท หรือ 15.39% จากกำไรในเครื่องมือทางการเงินตามมูลค่ายุติธรรม รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากการลงทุน ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานสุทธิปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยที่ 935 ล้านบาท หรือ 1.87%           ด้านการควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า จากการบริหารประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ 40.84% เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวัง โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ระดับ 9,818 ล้านบาท อย่างเหมาะสม           เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้น 397 ล้านบาท หรือ 0.81% ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 2,243 ล้านบาท หรือ 10.06% ทำให้ กำไรจากการดำเนินงานก่อน ECL และภาษี เพิ่มขึ้นเป็น 29,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.99% ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 4.36 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.33% จากสิ้นปี 2567 โดยมีอัตราส่วน NPL อยู่ที่ 3.19% และ Coverage Ratio อยู่ที่ 159.49% สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่มั่นคง พร้อมอัตราส่วนเงินกองทุนตามเกณฑ์ Basel III ที่แข็งแกร่ง 20.52%           บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH กำไร ไตรมาส 1/2568 ที่ออกมาถือว่าดีกว่าคาด และคิดเป็น 26.6% ของประมาณการกำไรทั้งปีของฝ่ายวิจัย ยังคงชอบ KBANK เชื่อว่าการดำเนินตามยุทธศาสตร์ธนาคารจะยังทำให้ผลประกอบการปี 68 เติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง มีการประกาศเงินปันผลพิเศษอีก 2.50 บาทต่อหุ้น (XD 15/05/68) ถือเป็นธนาคารที่มีพื้นฐานดี จ่ายปันผลสูง ยังแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย

CREDIT กำไรทะลุ 900 ลบ. โตเท่าตัว! ขาดทุนด้านเครดิตลด-พอร์ตสินเชื่อโต

CREDIT กำไรทะลุ 900 ลบ. โตเท่าตัว! ขาดทุนด้านเครดิตลด-พอร์ตสินเชื่อโต

           หุ้นวิชั่น - ธนาคารไทยเครดิต จำกัด (มหาชน) หรือ CREDIT ในไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารมีกำไรสุทธิเท่ากับ 903.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 453.4 ล้านบาท หรือร้อยละ 100.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากการบริหารการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของธนาคาร นอกจากนี้ ในปี 2568 ธนาคารยังมีการออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้อย่างต่อเนื่องจากปี 2567 เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ก่อนที่จะเข้าสู่ Stage 2 และ Stage 3 ส่งผลให้การตกชั้นของลูกหนี้ลดลง อีกทั้งธนาคารยังมีการเพิ่มจำนวนพนักงานเก็บเงินและเร่งรัดหนี้สิน (Collection) อย่างต่อเนื่องจากปี 2567 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการติดตามหนี้ ส่งผลให้คุณภาพของหนี้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การขยายตัวของเงินให้สินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 12.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวร้อยละ 1.7 จากสิ้นเดือนธันวาคม 2567 ในไตรมาส 1 ปี 2568 ธนาคารบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตสำหรับเงินให้สินเชื่อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้อยละ 42.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม อัตราส่วน NPL Coverage Ratio ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 150.7 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 148.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินงานที่ยังคงมุ่งเน้นความระมัดระวัง ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (Net Interest Margin) อยู่ที่ร้อยละ 7.9 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ รวมถึงโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิต่อส่วนของเจ้าของในไตรมาส 1 ปี 2568 ยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 15.38 เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม

ก.ล.ต.เตือนผถห. TPOLY26NA ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 24 เม.ย.68

ก.ล.ต.เตือนผถห. TPOLY26NA ใช้สิทธิประชุมฯ วันที่ 24 เม.ย.68

              หุ้นวิชั่น - สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ TPOLY26NA  ใช้สิทธิในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ ศึกษาข้อมูล ซักถามผู้ออกหุ้นกู้หรือผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนและเพียงพอต่อการตัดสินใจลงมติ ในวันที่ 24 เมษายน 2568  ตามที่บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) (TPOLY) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ TPOLY26NA จะจัดให้มีการประชุม ผู้ถือหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 24 เมษายน 2568 เวลา 10.00 น. ด้วยวิธีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์   (E-meeting) โดยมีเรื่องเพื่อพิจารณา ดังนี้ (1) ผ่อนผันให้การที่บริษัทไม่สามารถดำเนินการให้นายทะเบียนหุ้นกู้แจ้งแก่สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นกู้วันแรก ไม่ให้ถือเป็นกรณีที่ผู้ออกหุ้นกู้ไม่ปฏิบัติ ตามข้อกำหนดสิทธิ (2) เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการดำรงมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นประกัน ประเภทหุ้นสามัญของบริษัททีพีซี เพาเวอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) (TPCH) และประเภทอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง) ต่อมูลค่าของหุ้นกู้ที่ยังไม่ได้ไถ่ถอนทั้งหมด จากเดิม ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1.4 เท่า ตลอดอายุหุ้นกู้ เป็น ในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1 เท่า ตั้งแต่ 15 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 15 มกราคม 2569 และไม่น้อยกว่า 1.2 เท่า ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2569 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2569 และดำรงในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1.4 เท่า ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2569 จนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ จากเดิม ร้อยละ 6.25 ต่อปี เป็น ร้อยละ 6.50 ต่อปี สำหรับช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการดำรงมูลค่าของทรัพย์สินที่เป็นประกัน (ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2568 ถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2569) ทั้งนี้ ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้วิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย ประโยชน์ และผลกระทบที่ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับ จากการมีมติอนุมัติ หรือไม่อนุมัติ ให้ชัดเจนในแต่ละทางเลือก พร้อมเหตุผลประกอบโดยมีความเห็นของผู้แทน   ผู้ถือหุ้นกู้ประกอบด้วย ก.ล.ต. จึงขอให้ผู้ถือหุ้นกู้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบคอบ และใช้สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้ในการรักษาประโยชน์ของตนเอง พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลต่าง ๆ จากผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อให้มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจออกเสียงในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ด้วย

abs

ปตท. แข็งแกร่งร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน

NETBAY ยันระบบนิ่ง! เชื่อมพันธมิตรรายใหม่ไม่กระทบ

NETBAY ยันระบบนิ่ง! เชื่อมพันธมิตรรายใหม่ไม่กระทบ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ว่า นางกอบกาญจนา วีระพงษ์ประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) หรือ NETBAY แจ้งข่าวต่อตลาดหลักทรัพย์ ว่า บริษัท เน็ตเบย์ จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") มีความประสงค์ที่จะรายงานความคืบหน้าให้ผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน รับทราบข้อมูลในภาพรวมเกี่ยวกับการให้บริการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Window (NSW) โดยบริษัทฯ มีการดำเนินการ ดังนี้ ด้านการให้บริการต่อลูกค้า/ผู้ใช้บริการนั้น บริษัทฯ เริ่มดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านผู้ให้บริการเชื่อมโยงข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์ (NSW Service Provider : NSP) รายใหม่ ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกัน ตั้งแต่ในวันที่ 1 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยบัดนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่าสามารถรองรับการเชื่อมโยงรับ-ส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของลูกค้า/ผู้ใช้บริการทุกรายได้ดังนั้นลูกค้า/ผู้ใช้บริการของบริษัทฯ สามารถใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้นจากการหมดอายุของ Collaborations Protocol Agreement (CPA) บริษัทฯ ขอยืนยันเสถียรภาพและความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งมอบบริการที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าและผู้มีอุปการะคุณทุกท่านอย่างดีที่สุดต่อไป

SET วูบ! ปิดลบ 16 จุด  จับตาเจรจาไทย-สหรัฐฯ

SET วูบ! ปิดลบ 16 จุด จับตาเจรจาไทย-สหรัฐฯ

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (21 เม.ย. 2568) ปิดที่ระดับ 1,134.71 จุด ลดลง 16.24 จุด หรือคิดเป็น -1.41% คาด SET พรุ่งนี้ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน โบรกแนะ Wait and See ลุ้นดีลใหญ่ไทย-สหรัฐฯ 23 เม.ย. นี้ ชี้เป็นตัวแปรสำคัญทิศทางตลาดรอบใหม่           นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปิดที่ระดับ 1,134.71 จุด ลดลง 16.24 จุด หรือคิดเป็น -1.41% โดย SET Index ปรับตัวลดลงจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ จากการประกาศผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์หรือกลุ่มแบงก์ที่ลดลง ประกอบกับแนวโน้ม GDP ที่คาดว่าจะหดตัวในอนาคต ปัจจัยที่สอง แรงกดดันจากต่างประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ของจีนได้ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (21 เม.ย. 68) เตือนว่า "จีนจะตอบโต้ทุกประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐฯ หากกระทบต่อผลประโยชน์ของจีน" ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขณะที่ประเทศไทยมีกำหนดการเจรจากับสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย. นี้ และปัจจัยที่สาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่งผลกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน และเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดตลาดในวันนี้           สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้ (22 เม.ย. 68) คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบทรงตัว เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาหนุนตลาด โดยประเมินแนวรับที่ 1,130 จุด และแนวต้านที่ 1,140 จุด           กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้ Wait and See รอดูผลความชัดเจนของการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ           ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เมษายนนี้ โดยมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะในการเจรจา ซึ่งจะหารือเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับทางรัฐบาลสหรัฐฯ รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

BBIK ผถห.ไฟเขียว แจกปันผล 0.22 บ.

BBIK ผถห.ไฟเขียว แจกปันผล 0.22 บ.

          หุ้นวิชั่น - นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 รับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2567 ของกลุ่มบริษัทฯ โดยมีรายได้จากการดำเนินงานที่ 1,507 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท รวมถึงอนุมัติงบการเงินเฉพาะกิจการและงบการเงินรวม    ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย และจัดสรรกำไรเพื่อเป็นเงินสำรองตามกฎหมายและการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2567           บริษัทฯ เตรียมจ่ายปันผลเป็นเงินสด 0.22 บาทต่อหุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งหมดจำนวน 200,015,474 หุ้น หรือคิดเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 44,003,404 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 32 ของกำไรสุทธิของงบเฉพาะกิจการหลังหักสำรองตามกฎหมาย   ในส่วนของกำไรสุทธิที่เหลือจะใช้เพื่อชำระค่าหุ้นงวดสุดท้ายของบริษัท อินโนวิซ โซลูชั่นส์ จำกัด และสำรองเงินสดสำหรับเงินทุนหมุนเวียนที่อาจเพิ่มขึ้น เพื่อสนับสนุนเป้าหมายเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงรักษาสภาพคล่อง ลดภาระการกู้ยืมเงินและดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน โดยมีการกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 30 เมษายน 2568 และกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 29 เมษายน 2568 พร้อมจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นในวันที่ 20 พฤษภาคม 2568           นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังเตรียมความพร้อมเพื่อยื่นคำขอย้ายหลักทรัพย์จาก mai ไป SET ตามแผนภายในปีนี้  มั่นใจคุณสมบัติเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้

abs

เจมาร์ท สร้างความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการสร้าง Synergy Ecosystem

KTB ดิ่งกว่า 5% นำกลุ่มแบงก์ แม้งบไม่แย่ แต่ไม่มีปันผลแล้ว

KTB ดิ่งกว่า 5% นำกลุ่มแบงก์ แม้งบไม่แย่ แต่ไม่มีปันผลแล้ว

                หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ที่ปรับตัวลงมากกว่า 5% นำกลุ่มธนาคารในวันนี้ คาดมาจากเรื่องของเทคนิคอล แม้งบไตรมาส 1/2568 ออกมาไม่ได้แย่ และไม่ได้ดูน่ากังวลเป็นพิเศษ แต่หากมองไปข้างหน้า KTB ก็ไม่ได้มีความน่าสนใจมากนักเมื่อเทียบกับกลุ่ม โดยเฉพาะในเรื่องของเงินปันผล เนื่องจากจ่ายเพียงปีละครั้ง และปีนี้ก็ขึ้นเครื่องหมาย XD ไปแล้ว โดยจะจ่ายปันผลในวันที่ 2 พ.ค.นี้ ขณะที่มีความเสี่ยงในเรื่องของผลกระทบของดอกเบี้ยขาลง เช่นเดียวกันกับกลุ่มธนาคาร ประกอบกับส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ถือว่าปรับตัวลงมากสุดในกลุ่มธนาคาร

AUCT คว้างานประมูลทรัพย์สิน ปตท.

AUCT คว้างานประมูลทรัพย์สิน ปตท.

             หุ้นวิชั่น - นายสุธี สมาธิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหการประมูล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.ให้เป็นผู้ดำเนินการประมูลขายทรัพย์สินประเภทลิฟต์โดยสาร ยี่ห้อ MITSUBISHI  ที่รื้อเป็นชิ้นส่วนแล้ว ซึ่งแต่ละตัวสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 1,600 กิโลกรัม สามารถรองรับการโดยสารได้จำนวน 26 คน เป็นลิฟต์โดยสารมอเตอร์ไฟฟ้าใช้งาน 8 ชั้น ถูกใช้งานมา 15 ปี น้ำหนักรวมชิ้นส่วนตัวละ 10 ตัน จึงเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาลิฟต์โดยสารที่มีคุณภาพและพร้อมใช้งาน           ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมทรัพย์สินได้ในระหว่างวันที่ 21-22 เมษายน 2568 ณ โกดังบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี และจะประมูลโดยวิธียื่นซองในวันที่  23 เมษายน 2568 12.00 น. ที่สำนักงานใหญ่ ปตท. ผู้ที่ประมูลได้รับทรัพย์สินได้ในระหว่างวันที่ 26-30 เมษายน 2568 เวลา 9.00-16.00 น. สนใจติดต่อโทรศัพท์ 02-0336555, 081-5656059

AU โค้งแรกโต 38% โกลเบล็ก ให้เป้า 13.50 บ.

AU โค้งแรกโต 38% โกลเบล็ก ให้เป้า 13.50 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง AU ว่า "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 13.50 บาท มีอัพไซต์ 35% ฝ่ายวิเคราะห์มีมมุมองเป็นกลางต่อแนวโน้มไตรมาสแรก แต่มองบวกต่อแนวโน้มทั้งปี 68           • คาดกำไร 1Q68 ราว 75 ล้านบาท +38%YoY -13%QoQ โดยหดตัว QoQ จากผลกระทบของการเข้าสู่ช่วงรอมฎอนในวันที่ 1-31 มี.ค. 68 ซึ่งกระทบต่อสาขาในภาคใต้เป็นหลัก ทั้งจากคนในพื้นที่และชาวมาเลเซีย ส่งผลให้ SSSG ภาพรวมติดลบ 2-3%           อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรยังคงเติบโต YoY จากการจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ที่เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค. 67 และการเป็นพันธมิตรกับสายการบินไทยซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. 67 แต่คาดว่าแนวโน้ม %GPM จะปรับลดลงสู่ 63.7% (1Q67 = 66.5%, 4Q67 = 64.5%) จากสัดส่วนการขายสินค้าหน้าร้านที่ลดลง แต่มีสัดส่วนรายได้จากร้าน 7-Eleven เพิ่มขึ้น           • ความเห็น: เรามีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มกำไร 1Q68 ที่คาดว่าจะอ่อนตัวลง QoQ อย่างไรก็ตาม เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มทั้งปี 2568 จากแผนขยายสาขาร้าน After You เพิ่มอีก 5-6 แห่ง การขยายกำลังการผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมร้าน 7-Eleven ทุก 15,000 สาขา การวางจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ในหมวดหมู่ใหม่เพิ่มเติม การเปิดร้าน After You แบบแฟรนไชส์ในต่างประเทศอีก 1-2 แห่ง โดยเราคาดว่ากำไรปี 2568 จะอยู่ที่ราว 327 ล้านบาท +10%YoY และให้ราคาเหมาะสมที่ 13.50 บาท มีอัพไซด์ 35% แนะนำ “ซื้อ”

abs

มุ่งมั่นเป็นผู้นำ เชื่อมโยงทุกโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่งอย่างยั่งยืน

UAC พลิกเกม สู่พลังงานสะอาด l Hoon Vision Talk

UAC พลิกเกม สู่พลังงานสะอาด l Hoon Vision Talk

https://youtu.be/eIqihaseo9Q?si=uWWNCJzatLQqs2bH

SCB โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 โต 10.8% เน้นคุมต้นทุน-บริหารคุณภาพสินทรัพย์

SCB โชว์กำไรสุทธิ Q1/68 โต 10.8% เน้นคุมต้นทุน-บริหารคุณภาพสินทรัพย์

             หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ของปี 2568 จำนวน 12,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ              ในไตรมาส 1 ของปี 2568 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 31,047 ล้านบาท ลดลง 2.2% จากปีก่อน จากการลดลงของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ และยอดสินเชื่อโดยรวมที่ลดลง 1.0% จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง รายได้ค่าธรรมเนียมและอื่น ๆ มีจำนวน 10,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% จากปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง ในขณะที่ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันภัยและ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อปรับตัวลดลง              ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 17,140 ล้านบาท ลดลง 5.3% จากปีก่อน จากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพ และการยุติการดำเนิน ธุรกิจแพลตฟอร์มโรบินฮู้ดในปี 2567 โดยบริษัทฯ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 39.9%              บริษัทฯ ตั้งสำรองลดลง 6.2% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นของธนาคารและธุรกิจกลุ่ม Gen 2 โดยเฉพาะจากบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ ได้รวมสำรองพิเศษจากการประเมินเบื้องต้นเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 156% คุณภาพของสินเชื่อโดยรวมอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ดีโดยอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 อยู่ที่ 3.45% ลดลงจาก 3.52% ในปีก่อน เงินกองทุนตามกฎหมายของบริษัทฯ อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.8%              นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) กล่าวว่า “ปีนี้เริ่มต้นด้วยความท้าทายที่สำคัญ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและความไม่แน่นอนอย่างสูงจากการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ บริษัทฯ ได้ ด าเนินมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างทันท่วงที เช่น การพักช าระหนี้ และการให้สินเชื่อเพื่อ ซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าผลกระทบต่อธุรกิจของกลุ่ม SCBX มีในวงจำกัด              สำหรับความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ นั้น บริษัทฯ ประเมินว่าจะท าให้ GDP ของประเทศปีนี้ลดลงเหลือร้อยละ 1.5 และมี โอกาสทวีความรุนแรงมากกว่าคาดได้บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมเชิงรุก โดยติดตามสถานการณ์ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบ ทั้งทางตรงและทางอ้อม และร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม              แม้จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2568 ของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม อีกทั้งธุรกิจ ในกลุ่ม Gen 2 และ 3 มีก าไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยต่อยอดผลประกอบการธุรกิจ Gen 1              บริษัทฯ ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปีที่แล้วในอัตราร้อยละ 80 และยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อสนับสนุน ลูกค้าและเศรษฐกิจไทย พร้อมกับเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง” เป้าหมายปี 2568 EIC ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงเหลือร้อยละ 1.5 (จากเดิมที่คาดไว้ที่ร้อยละ 2.4) โดยมีสาเหตุหลักมาจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากกว่าที่คาดไว้ บริษัทมีอัตราการเติบโตของสินเชื่อติดลบอยู่ที่ร้อยละ -1.0 ในไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการคัดเลือกการให้สินเชื่อที่รัดกุมและระมัดระวังมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงเวลาที่เหลือของปี บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตให้อยู่ในระดับล่างของกรอบเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ร้อยละ 3.67 ซึ่งยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจถูกปรับลดลงอีก 3 ครั้งในปีนี้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิจึงมีแนวโน้มลดลงไปแตะระดับล่างของเป้าหมาย โดยมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่อาจกระทบต่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ ได้แก่ การเติบโตของสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูง โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen 2 และปริมาณการปรับโครงสร้างหนี้ที่อาจต้องดำเนินการเพิ่มเติม รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากธุรกิจการบริหารจัดการความมั่งคั่ง โดยคาดว่าแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาสถัดไป โดยเฉพาะจากธุรกิจการบริหารจัดการความมั่งคั่ง อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องติดตามความเสี่ยงจากการชะลอตัวของการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และความผันผวนของตลาดการเงินที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียม อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ทำได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้บริษัทคาดว่าอัตราค่าใช้จ่ายต่อรายได้จะอยู่ในระดับล่างของเป้าหมายตลอดทั้งปี อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อในไตรมาส 1 ปี 2568 ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมาย โดยบริษัทจะยังคงบริหารจัดการงบดุลด้วยความยืดหยุ่น เพื่อรองรับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาคที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง

KTIS เผยอ้อยเข้าหีบเพิ่ม 28% ผลิตน้ำทรายได้กว่า 31.4% ชี้คุณภาพอ้อยดีขึ้น

KTIS เผยอ้อยเข้าหีบเพิ่ม 28% ผลิตน้ำทรายได้กว่า 31.4% ชี้คุณภาพอ้อยดีขึ้น

           กลุ่ม KTIS เปิดข้อมูลหลังปิดรับอ้อยเข้าหีบของฤดูการผลิตปี 2567/68 พบว่า ได้ผลผลิตอ้อยเข้าหีบรวมทั้ง 3 โรงงาน จำนวน 6.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 28.0% ผลิตน้ำตาลได้ 6.7 ล้านกระสอบ มากกว่าปีก่อนถึง 31.4% เนื่องจากคุณภาพอ้อยดีขึ้นมาก จากการรณรงค์ให้ชาวไร่ตัดอ้อยสด ลดอ้อยไฟไหม้อย่างได้ผล โดยโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ มีสัดส่วนอ้อยไฟไหม้เพียง 2% เป็นอ้อยสดถึง 98% ชี้จากปริมาณอ้อยและน้ำตาลที่สูงขึ้น จะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ปี 2568 ดีกว่าปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ            นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจรสู่ BCG อย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า ภายหลังการปิดหีบอ้อยของกลุ่ม KTIS สำหรับฤดูการผลิตปี 2567/68 พบว่า ได้รับอ้อยเข้าหีบประมาณ 6.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 28.0% เมื่อเทียบกับปริมาณอ้อยเข้าหีบของปี 2566/67 และสามารถผลิตน้ำตาลทรายได้ประมาณ 6.7 ล้านกระสอบ เพิ่มขึ้น 31.4% เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาลทรายที่ผลิตได้ในปี 2566/67 ที่ 5.1 ล้านกระสอบ            ทั้งนี้ หากดูตัวเลขรวมของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายในปีผลิต 2567/68 ซึ่งได้อ้อย 92.2 ล้านตัน ผลิตน้ำตาลทรายได้ 100.4 ล้านกระสอบ จะเห็นว่ามีอ้อยเพิ่มจากปีก่อน 11.9% และน้ำตาลเพิ่มขึ้น 23.8% สะท้อนว่า การเพิ่มขึ้นของอ้อยและน้ำตาลของกลุ่ม KTIS สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม            “ปัจจัยหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพอ้อยและทำให้ยิลด์ในการผลิตน้ำตาลทรายเพิ่มสูงขึ้นมาก มาจากการที่กลุ่ม KTIS สามารถควบคุมสัดส่วนอ้อยไฟไหม้ให้อยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะโรงงานน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ ที่มีสัดส่วนอ้อยไฟไหม้เพียง 2% และเป็นอ้อยสดถึง 98% ซึ่งนโยบายการส่งเสริมการตัดอ้อยสดนี้ไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำตาล แต่ยังสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ลดมลพิษและฝุ่นละอองจากการเผาอ้อย อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพการบริหารจัดการและความร่วมมือระหว่างโรงงานกับชาวไร่อ้อยที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น” นายสมชายกล่าว            ทั้งนี้ ด้วยปริมาณอ้อยและน้ำตาลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลดีไปยังอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างๆ ทุกสายธุรกิจ  โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อย จึงมั่นใจว่า ปี 2568 นี้ ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS จะดีขึ้นกว่าปี 2567 อย่างมีนัยสำคัญ            นายสมชายกล่าวด้วยว่า ผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายที่เพิ่มมากขึ้นนั้น  นอกจากเรื่องของสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยแล้ว ยังสะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งเสริมและสนับสนุนทั้งองค์ความรู้และเครื่องมือต่างๆ ให้กับชาวไร่อ้อยคู่สัญญาของกลุ่ม KTIS เพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับชาวไร่อ้อยที่มีส่วนแบ่งรายได้จากการขายน้ำตาล 70% จะมีรายได้มากขึ้นด้วย สอดคล้องกับปณิธาณของกลุ่ม KTIS ที่ว่า “ชาวไร่อ้อยมั่งคั่ง กลุ่ม KTIS มั่นคง”

abs

SSP : ผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียน ทางเลือกใหม่เพื่ออนาคต

TRUE เสิร์ฟหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 3-3.85%  คาดเปิดจอง 2 และ 6 - 7 พ.ค.นี้

TRUE เสิร์ฟหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 3-3.85% คาดเปิดจอง 2 และ 6 - 7 พ.ค.นี้

            หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ : 21 เมษายน 2568 – บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE บริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำอันดับ 1 ของไทย และอันดับ 1 ของโลกด้านความยั่งยืน ด้วยคะแนน DJSI 2024 สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมโทรคมนาคมต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ เปิดโอกาสการลงทุนในช่วงดอกเบี้ยขาลง โดยเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 5 ชุด อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ระหว่าง 3.00 - 3.85% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสริมด้วยอันดับความน่าเชื่อถือ “A+” แนวโน้ม “คงที่” (Stable) จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ในธุรกิจโทรคมนาคมและธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัล คาดเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 2 และวันที่ 6 - 7 พฤษภาคม 2568 ผ่าน 7 สถาบันการเงินชั้นนำได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ซีไอเอ็มบี ยูโอบี บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส รวมถึงการขายผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet โดยมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นนายทะเบียนหุ้นกู้และผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้             นางสาวยุภา ลีวงศ์เจริญ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “หุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ที่กำลังจะเสนอขายในครั้งนี้ มี 5 รุ่น อายุตั้งแต่ 3 ปี ถึง 10 ปี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว ที่มองหาโอกาสรับดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอ ด้วยอัตราผลตอบแทนที่น่าสนใจและด้วยสถานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าหุ้นกู้ TRUE เป็นทางเลือกการลงทุนที่มั่นคงในสภาวะตลาดปัจจุบัน โดยการออกหุ้นกู้ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้กู้ยืมแก่บริษัทย่อยเพื่อนำเงินที่ได้ไปชำระคืนหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดชำระ (refinancing)             หุ้นกู้ TRUE เป็นอีกหนึ่งโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ และคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ลงทุนเป็นอย่างดีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมีนักลงทุนจำนวนมากให้ความสนใจจองซื้อครบเต็มจำนวน  และในปัจจุบัน ดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง จึงเป็นจังหวะที่ดีสำหรับนักลงทุนในการสะสมหุ้นกู้ในช่วงนี้ เพื่อล็อกผลตอบแทนไว้ล่วงหน้า โดยเฉพาะนักลงทุนที่นิยมลงทุนในหุ้นกู้ที่มีคุณภาพสูง”             หุ้นกู้ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ชุดใหม่นี้ เสนอขาย ต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering) โดยมีอายุระหว่าง 3 ปี ถึง 10 ปี ซึ่งเป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทฯ และหุ้นกู้อยู่ที่ระดับ “A+” แนวโน้ม “คงที่” หรือ “Stable” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2568 คาดว่าจะเปิดให้จองซื้อระหว่างวันที่ 2 และวันที่ 6 - 7 พฤษภาคม 2568 สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ TRUE ชุดใหม่ ทั้ง 5 ชุด มีดังนี้ 1. หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 00% ต่อปี 2. หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 30% ต่อปี 3. หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 50% ต่อปี 4. หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 70% ต่อปี 5. หุ้นกู้ชุดที่ 5 อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่85% ต่อปี และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดได้ตั้งแต่วันครบกำหนดปีที่ 5 เป็นต้นไป             ทั้งนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงาน ก.ล.ต. ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ และร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th หรือ สอบถามรายละเอียดที่ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา (ยกเว้นสาขาไมโคร) หรือ โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา โทร. 02 888 8888 กด 869 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน https://www.kasikornbank.com/kmyinvest (ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 777 6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 626 7777 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอป CIMB Thai ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ทุกสาขา หรือ โทร. 02 285 1555 บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02 680 4004 บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) โทร. 02 165 5555 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอปฯ Dime! และรวมถึง ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน)             สำหรับผู้สนใจจองซื้อหุ้นกู้ผ่านแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.truemoney.com หรือติดต่อขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ทรู มันนี่ จำกัด โทร. 1240 กด 6

วัดกำลัง ADVANC- TRUE กำไ รQ1 จะแกร่งแค่ไหน?

วัดกำลัง ADVANC- TRUE กำไ รQ1 จะแกร่งแค่ไหน?

          หุ้นวิชั่น - ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล(ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่าในไตรมาส 1/68 ADVANC จะมีกำไรสุทธิเติบโต 15.2% yoy และ 5.1% qoq เป็น 9.7 พันล้านบาทและมี EBITDA เพิ่มขึ้น 4.7% yoy และ 1.2% qoq เป็น 2.89 หมื่นล้านบาท           นอกจากนี้คาดว่า ADVANC จะมีอัตราส่วน EBITDA เพิ่มเป็น 52.4% จาก 50.3%ในไตรมาส 4/67 ขณะที่รายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมโยงโครงข่าย: IC) จะเติบโต 5.1% yoy แต่ลดลง 1.0% qoq เนื่องจากรายได้การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เพิ่มขึ้น 2.9% yoy แต่ลดลง 1.6% qoq ส่วนรายได้จากการให้บริการบรอดแบนด์ เพิ่มขึ้น 9.0% yoy และ 2.1% qoq           สำหรับ TRUE นั้น ฝ่ายวิเคราะห์ฯคาดว่าจะขาดทุนสุทธิ 283 ล้านบาท ลดลง 63.2% yoy, และลดลง 96.2% qoq ในไตรมาส 1/68 เทียบกับขาดทุนสุทธิ 7.5 พันล้านบาทในไตรมาส 4/67 และขาดทุนสุทธิ 769 ล้านบาทในไตรมาส 1/67 โดยตั้งสมมติฐานว่า TRUE จะบันทึกค่าตัดจำหน่ายและการด้อยค่าของสินทรัพย์รวม 3.5 พันล้านบาทในไตรมาส 1/68           ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการดังกล่าว ในไตรมาส 1/68 TRUE จะมีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 3.2 พันล้านบาทเทียบกับกำไร 3.6 พันล้านบาทในไตรมาส 4/67 นอกจากนี้ยังทำประมาณการ EBITDA ของ TRUE อยู่ที่ 2.47 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% yoy แต่ลดลง 2.2% qoq และอัตราส่วน EBITDA อยู่ที่ 59.4% ซึ่งลดลง qoq จาก 60.6% ในไตรมาส 4/67 ดังนั้น รายได้จากการให้บริการโดยรวม (ไม่รวม IC) ของ TRUE น่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% yoy แต่ลดลง 0.2% qoq           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า กลุ่มโทรคมนาคมไทยคาดการณ์ว่ารายได้จากการให้บริการหลักจะเติบโต 2-5% ในปี 68-70 หลังจากเติบโตแข็งแกร่งในปี 67 ที่ผ่านมา โดยจะมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (ARPU) ของทั้งบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการบรอดแบนด์ รวมทั้งยอดผู้ใช้บริการบรอดแบนด์ที่เพิ่มขึ้นสุทธิ นอกจากนี้ บริษัทโทรคมนาคมยังตั้งเป้า EBITDA เติบโต 3-10% เพราะรายได้จากการให้บริการหลักมีแนวโน้มเติบโตดีและค่าใช้จ่ายโครงข่ายน่าจะลดลงในปี 68           ส่วนเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 2/68 ได้แก่การประมูลคลื่น 6 ย่านความถี่ แต่เชื่อว่าจำนวนย่านความถี่น่าจะมากกว่าความต้องการของบริษัทโทรคมนาคม ดังนั้นราคาประมูลคลื่นความถี่รอบนี้จึงน่าจะสมเหตุสมผลกว่ารอบที่ผ่านมาในปี 62-63           ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า แม้กลุ่มโทรคมนาคมไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสงครามการค้าโลก แต่ยังแนะนำให้คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral) เพราะกลุ่มนี้มีการประเมินมูลค่าสูงที่ EV/EBITDA 8.9 เท่า และ P/BV 3.6 เท่าในปี 68 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยนในอดีต 10 ปี นอกจากนี้ กลุ่มโทรคมนาคมไทยอาจมี downside risk หากผู้ประกอบการแข่งขันกันเสนอแพ็คเกจบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์รายเดือนกันมากขึ้น, การ บริโภคภาคเอกชนชะลอตัว รวมทั้งการจัดประมูลคลื่นความถี่           ขณะที่จะมี upside risk หากสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าใช้จ่ายโครงข่ายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) รวมถึงการที่ผู้ใช้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์เพิ่มขึ้นสุทธิสูงกว่าคาด ทั้งนี้ยังแนะนำ “ถือ” ทั้ง ADVANC และ TRUE

ITEL เผย TRIS จัดอันดับเรทติ้ง “BBB” แนวโน้ม “Stable”

ITEL เผย TRIS จัดอันดับเรทติ้ง “BBB” แนวโน้ม “Stable”

            บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ผู้นำด้านบริการโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกที่มีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพสูงสุดครอบคลุมทั่วไทย ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรประจำปี 2567 จาก “ทริสเรทติ้ง” (TRIS Rating) สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำของประเทศไทย อยู่ที่ระดับ “BBB” พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิตแบบ “คงที่” (Stable) ซึ่งสะท้อนถึงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่มั่นคง และความสามารถในการดำเนินธุรกิจอย่างมีเสถียรภาพ ในฐานะผู้ให้บริการวงจรสื่อสารข้อมูลผ่านโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนำแสง ที่ได้รับความไว้วางใจทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมาอย่างต่อเนื่อง             การจัดอันดับในครั้งนี้ คือการสะท้อนให้เห็นถึงความคาดหวังของตลาด ต่อศักยภาพของ ITEL ในการดำเนินธุรกิจด้านโครงข่ายวงจรสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง (Data Service) และธุรกิจให้บริการศูนย์สำรองข้อมูล (Data Center) ที่เป็นรายได้หลักของบริษัทฯ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมา ITEL มีรายได้จากธุรกิจ Data Service อยู่ที่ 1.26 พันล้านบาท ขณะที่รายได้จากธุรกิจ Data Center มีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูง โดยคิดเป็นรายได้รวมอยู่ที่เกือบ 100 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับแนวโน้มการเติบโต จากความต้องการใช้งานบริการด้านดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย             โดยหลังจากการจัดอันดับเครดิตเสร็จสิ้น ทาง ITEL ก็จะยังคงเดินหน้าพัฒนา และเสริมศักยภาพการบริการอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัล และสนับสนุนการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน พร้อมยึดมั่นในพันธกิจ สำหรับการเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายไฟเบอร์ออพติกที่ทันสมัย และปลอดภัย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และนักลงทุนในระยะยาวเช่นกัน

abs

ออกแบบและติดตั้งระบบเครือข่ายและระบบสื่อสารอย่างครบวงจร

JAS-MONO บวกคู่ เก็งเปิดพันธมิตรหลัก ถ่ายทอดสดฟุตบอลฯ 23 เม.ย.นี้

JAS-MONO บวกคู่ เก็งเปิดพันธมิตรหลัก ถ่ายทอดสดฟุตบอลฯ 23 เม.ย.นี้

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กสิกรไทย ระบุบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (JAS) เตรียมเปิดตัว ADVANC ในฐานะพันธมิตรโทรคมนาคมหลักอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 23 เม.ย. ซึ่งน่าจะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดต่อความเป็นไปได้ของโครงการ           แม้การถ่ายทอดสดรายการฟุตบอลพรีเมียร์ลีก (โครงการ EPL) จะมีความคืบหน้าไปในทางที่ดี แต่ยังคงระมัดระวังต่อสถานการณ์ผิดนัดชำระหนี้ของ JTS จนกว่าจะมีมติเห็นชอบจากการประชุมผู้ถือพันธบัตรในวันที่ 8 พ.ค.           ปรับลดราคาเป้าหมาย (TP) ลง 5% เป็น 1.97 บาท และคงคำแนะนำ “ถือ” ข้อตกลงกับ ADVANC อาจสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด แต่ให้ ความสำคัญกับรายงานยอดผู้ใช้บริการ 1 ล้านราย เป็นอันดับแรก เพื่อตัดสินความสำเร็จ

BKA จ่อเทรด mai 22 เม.ย. บ้านมือสอง มาร์จิ้นสูง! ลุ้นวิ่งแรง!

BKA จ่อเทรด mai 22 เม.ย. บ้านมือสอง มาร์จิ้นสูง! ลุ้นวิ่งแรง!

          หุ้นวิชั่น - กรุงเทพฯ - บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ จ่อลงสนามเทรดตลาด mai วันพรุ่งนี้ (22 เม.ย.68) ระดมทุนการขยายพอร์ตธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย พร้อมเปิดแพลตฟอร์ม “Prop Tech” Virtual Reality มิติใหม่ในการเลือกซื้อบ้านเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ ด้านผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัท ประกาศ Lock up หุ้น 87% สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับนักลงทุน             นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก ในวันพรุ่งนี้ (22 เม.ย.2568) ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ภายใต้ชื่อหลักทรัพย์ว่า “BKA” โดยบริษัทเชื่อมั่นว่าการเข้าซื้อขายในวันพรุ่งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากพื้นฐานทางธุรกิจของ BKA เป็นผู้นำธุรกิจบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ที่มุ่งให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย ในรูปแบบธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขาย อสังหาริมทรัพย์ (ธุรกิจบ้านฝาก) และธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) ที่ได้การยอมรับจากกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ก้าวสู่ “การเป็นที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง”           อีกทั้งฐานะการเงินและกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ณ สิ้นปี 2567อยู่ที่ระดับ 1.15 เท่า ประกอบกับเงินทุนที่ได้รับจากการระดมทุนครั้งนี้ ยิ่งทำให้บริษัทมีฐานทุนที่แข็งแกร่ง และพร้อมต่อยอดเพื่อขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านมือสองที่มีศักยภาพการเติบโตจากสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ในระบบจำนวนมากซึ่งคุ้มค่าต่อการลงทุน รวมถึงการพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ จากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ ยิ่งสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ           “การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกสู่การเป็นบริษัทมหาชนอย่างเต็มตัว รวมถึงยังเป็นการสร้างโอกาสเติบโตให้กับบริษัท ทั้งฐานทุนที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มศักยภาพภาพลักษณ์องค์กร ให้เป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นด้วย ดังนั้นด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งทางธุรกิจ ประกอบกับทีมบริหารที่มีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ธุรกิจที่ชัดเจน ยิ่งตอกย้ำว่า BKA มีโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงมองว่านักลงทุนที่ลงทุนไปพร้อมกับเราในวันนี้ก็จะเติบโตไปพร้อมๆ  กับ BKA เช่นกัน พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน ทางผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัทพร้อมใจกัน Lock-Up ตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมกัน 87% ของทุนชำระแล้วก่อน IPO หรือคิดเป็น 62.14% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO เพื่อเป็นการยืนยันว่าวันที่หุ้นเข้าซื้อขายในกระดานเทรดวันแรกจะไม่มีการเทขายจากกลุ่มนี้ออกมาอย่างแน่นอน”           นางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า หุ้น BKA จะเป็นหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมกว่า 12 ปีและด้วยจุดเด่นของ BKA ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ซึ่งถือเป็นรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเฉพาะในธุรกิจให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) ที่สามารถสร้างผลตอบแทนสูง จึงทำให้หุ้น BKA ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดีตลอดช่วงระยะเวลาที่มีการเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับตัวเลขผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2565 – 2567) สะท้อนถึงรายได้รวม และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น จากปี 2565 มีรายได้รวม 1,302.92 ล้านบาท กำไรสุทธิ 21.44 ล้านบาท, ปี 2566 มีรายได้รวม 1,313.59 ล้านบาท กำไรสุทธิ 22.27 ล้านบาท และ ปี 2567 มีรายได้รวม 1,142.46 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 36.82 ล้านบาท ดังนั้นจึงมองว่าหุ้น BKA จะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สร้างโอกาสการเติบโตเพิ่มขึ้น และมองว่า BKA เป็นหุ้น Growth Stock ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต           นางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) เปิดเผยว่า หุ้น BKA เป็นหุ้น IPO ที่มีศักยภาพโดดเด่น มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะทรงตัวแต่ตัวเลขยอดขายบ้านมือสองมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทุกปี สอดคล้องกับดีมานด์บ้านแนวราบที่เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะบ้านในระดับราคา 5-7 ล้านบาท และจากปัจจัยดังกล่าวจึงได้การตอบรับที่ดีจากนักลงทุนผ่านการจองซื้อหุ้นในช่วงที่ผ่านมา และที่สำคัญ Business Model ธุรกิจของ BKA ถือเป็นรายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจของ BKA ไม่ใช่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง แต่เป็นธุรกิจการให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย “ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือ “Flipping” ซึ่งรูปแบบธุรกิจเป็นการวางเงินประกัน เพื่อปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้บริษัทมีส่วนต่างของผลตอบแทน และมาร์จิ้นสูง เมื่อเทียบกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องลงทุนตั้งแต่การซื้อที่ดินและก่อสร้าง ดังนั้นด้วยศักยภาพและจุดเด่นจึงทำให้หุ้นน้องใหม่ BKA จึงได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุน

SNPS กำไร Q1 โตเด่น 52% YoY  ดีมานด์ API - B Gold หนุน เป้า 6.60 บ.

SNPS กำไร Q1 โตเด่น 52% YoY ดีมานด์ API - B Gold หนุน เป้า 6.60 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ Specialty Natural Products (SNPS) คาดกำไร 1Q25 เติบโต YoY เด่นระดับ 52%            คาดกำไร 1Q25 อยู่ที่ 18 ลบ. ลดลง 25.8% QoQ ตามฤดูกาล แต่เพิ่มขึ้น 51.9% YoY หนุนจากธุรกิจสารสกัดสมุนไพร (API) ทั้งลูกค้าเดิมที่กลับมาออเดอร์มากขึ้น หลังระดับสต๊อกกลับสู่ปกติ และเริ่มรับรู้รายได้จากลูกค้าใหม่ อินโดนีเซีย-อินเดีย ขณะที่สาร B Gold รับรู้รายได้เต็มไตรมาส OEM โตเล็กน้อย YoY ส่วน GPM คาดลด QoQ แต่สูงขึ้น YoY จาก Product mix ดีขึ้น 2Q25 คาดกำไรโตต่อทั้ง QoQ และ YoY            ปกติ 2Q รายได้จะสูงกว่า 1Q จากดีมานด์สินค้ากลุ่ม Self-care และเริ่มรับรู้รายได้จาก Colosure มากขึ้นหลังแก้ปัญหากำลังการผลิตได้แล้วตั้งแต่ เม.ย. 2025 พร้อม GPM กลับมาขยายตัว QoQ และต่อเนื่อง YoY B Gold จุดแข็งแข่ง Retinol ได้เปรียบทั้งคุณสมบัติ-ราคา            B Gold มีคุณสมบัติคล้าย Retinol แต่ไม่ระคายเคือง ราคาต่ำกว่าสารเกาหลีมาก และยังอยู่ในช่วงทดลองตลาด หากลูกค้าได้รับ อย. ผ่าน จะมีออเดอร์ล็อตใหญ่ หนุนการเติบโตระยะยาว คงราคาเหมาะสม 6.60 บาท แนะนำ “ซื้อ”            หากกำไร 1Q25 ออกมาตามคาด คิดเป็น 16.3% ของกำไรทั้งปี ซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน ๆ ยังคงเป้ากำไร 2025 ที่ 113 ลบ. (+39.6% YoY) ปัจจุบันหุ้นซื้อขาย PER25 ที่ 18.3 เท่า PEG 0.5 เท่า มองว่ายังไม่แพง

abs

Hoonvision

SCGP ลุ้นกำไร Q1 ที่ 779 ลบ. สต็อกก่อนเก็บภาษีสหรัฐฯ

SCGP ลุ้นกำไร Q1 ที่ 779 ลบ. สต็อกก่อนเก็บภาษีสหรัฐฯ

           หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง SCGP ว่าคงมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อ SCGP จากงบในไตรมาส 1 ปี 2568ที่คาดว่าจะออกมาที่ระดับ 779 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ผ่านมาโดยในปี 2568 เรามองว่าจะไม่มีรายการพิเศษขนาดใหญ่อย่างในไตรมาส 4 ปี 2567 มารบกวนการฟื้นตัวของ SCGP ในปีนี้            ประเมินว่า รายได้มีโอกาสเติบโตได้ราว 3–4% QoQมาจาก ปริมาณขายที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยนอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2568 SCGP มีโอกาสได้รับประโยชน์เชิงต้นทุนจากการเติมสต็อกสินค้าต่าง ๆ ภายใน 90 วัน ก่อนที่มาตรการ US reciprocal tariff จะเริ่มบังคับใช้ในไตรมาส 3 ปี 2568            อีกทั้งยังมองว่า Fajar จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นในปี 2568โดยในไตรมาส 1 คาดว่าผลขาดทุนจะลดลงจากเดิมที่ 200 ล้านบาทและมีโอกาสเห็น EBITDA breakeven ได้ในไตรมาส 2 ปี 2568 นี้

บล.หยวนต้า แนะเก็งกำไร INDIAESG19 รับเจรจาการค้าสหรัฐ บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

บล.หยวนต้า แนะเก็งกำไร INDIAESG19 รับเจรจาการค้าสหรัฐ บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

            หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.หยวนต้า แนะเก็งกำไร INDIAESG19 เป็น DR ที่อ้างอิง ETF ในสิงคโปร์ชื่อว่า iShares MSCI India Climate Transition โดยมีเป้าหมายในการลงทุนในตลาดหุ้นอินเดียอย่างน้อย 95% ของสินทรัพย์สุทธิ โดยคัดเลือกเฉพาะบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance) และผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำของ Climate Transition Benchmarks (CTBs) ที่กำหนดโดยสหภาพยุโรป             สัดส่วนการลงทุนแบ่งตามกลุ่มอุตสาหกรรม โดย กลุ่มการเงิน มีน้ำหนักมากที่สุดที่ประมาณ 32% ของมูลค่าสินทรัพย์ รองลงมาคือ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ที่ 14% และ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น ที่ 10% ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียที่ยังอยู่ในระดับสูง             แม้ว่าตลาดหุ้นอินเดียจะยังมี Valuation ที่ค่อนข้างสูง แต่ในระยะสั้นอาจมีแรงเก็งกำไรจากการคลายความกังวลในประเด็นสงครามการค้า หลังจากมีการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งแนวโน้มถือว่าค่อนข้างดี             ขณะเดียวกัน ในสัปดาห์นี้คุณ JD Vance รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดเดินทางเยือนอินเดียเป็นเวลา 4 วัน เริ่มตั้งแต่วันจันทร์ โดยจะเข้าพบนายกรัฐมนตรี Narendra Modi เพื่อเจรจาทางการค้า ซึ่งคาดว่าจะมีข้อตกลงร่วมกันเพิ่มเติม เพื่อลดผลกระทบจากนโยบายภาษีในยุคอดีตของ โดนัลด์ ทรัมป์

AURA รับราคาทองพุ่ง สินเชื่อ gold finance โต 30%

AURA รับราคาทองพุ่ง สินเชื่อ gold finance โต 30%

           หุ้นวิชั่น - บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุถึง AURA ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อ AURA จากราคาทองคำที่ปรับขึ้นมายืนเหนือ3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งยังคงเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้บริษัทคาดว่ามีกำไรจากส่วนต่างการซื้อขายทองคำของธุรกิจ Gold Trading และคาดว่าจะทยอยปรับค่ากำเหน็จขึ้นในครึ่งหลังปี 2568 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตต่อเนื่อง            โดยในสัปดาห์หน้าวันที่ 21 เมษายน AURA จะประกาศแผนระยะยาว 3 ปี คาดว่าจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดกลับมาสนใจและเข้าใจความสามารถในการเติบโตของ AURA ได้มากขึ้น นอกเหนือจากแผนระยะสั้นที่มีการตั้งเป้า ปี 2568 ดังนี้: เพิ่มสาขาเป็น 644 สาขาเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ Gold Finance เป็น 6,500 ล้านบาท (เติบโต 30%) ตั้งเป้ากำไรสุทธิปี 2568 เติบโต 20–30%            พร้อมกันนี้ ยังมีแผนขยายเพดานหนี้จาก 2 เท่า เป็น 2.5 เท่า และมี แผนออกหุ้นกู้วงเงิน 2,000–3,000 ล้านบาท รวมถึงขอวงเงินกู้ Syndicate Loanอีก 3,000–4,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลในไตรมาส 2 ปี 2568 เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องในการขยายสาขานอกจากนี้ ยังได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง เนื่องจาก AURA มีสัดส่วนเงินกู้ที่เป็น อัตราลอยตัวประมาณ 98%

NER คาด Q1 กำไรโต 15.2% YoY  ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ หนุนคำสั่งซื้อ

NER คาด Q1 กำไรโต 15.2% YoY ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ หนุนคำสั่งซื้อ

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. หยวนต้า ระบุ North East Rubber (NER) แนวโน้มกำไร 1Q25 โตเด่นทั้ง QoQ และ YoY เราคาดปริมาณขายใน 1Q25 ที่ 1.2 แสนตัน (-11.8% QoQ, +4.7% YoY) ปริมาณขายลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลเพราะไตรมาส 1 ราคายางมักปรับตัวขึ้นเนื่องจากใกล้เข้าสู่ช่วงปิดกรีด คาด ASP ที่ 68 บาท/กก. (+13.4% QoQ, +19.2% YoY) เราคาดรายได้ที่ 8,160 ลบ. (-8.7% QoQ, +24.7% YoY) คาด GPM ฟื้นตัวแรง QoQ เป็น 10.7% จาก 8.8% ใน 4Q24 เนื่องจากมีการสต๊อกวัตถุดิบไปมากแล้วใน 4Q24 ทำให้ราคายางที่ปรับขึ้นต่อใน 1Q25 กระทบต้นทุนเฉลี่ยจำกัด แต่ราคาขายปรับขึ้นมากกว่า อย่างไรก็ตามยังต่ำกว่า 11.6% ใน 1Q24 คาด SG&A ทรงตัว QoQ ที่ 161 ลบ. แต่เพิ่มขึ้น 5.5% YoY คาดกำไรจากอนุพันธ์และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิเป็นบวกราว 20 ลบ. คาดกำไรสุทธิที่ 568 ลบ. ขณะที่กำไรปกติคาดที่ 548 ลบ. (+13.2% QoQ, +15.2% YoY) 2Q25 คาดกำไรทรงตัวสูง แต่ 3Q25 ท้าทาย จึงยังคงประมาณการเดิมไว้            แนวโน้มกำไร 2Q25 คาดได้รับผลกระทบจากสงครามทางการค้าจำกัด เนื่องจากมีการปิดการขายไปแล้วในช่วง 4Q24 – 1Q25 คาดปริมาณขายราว 1.1 แสนตัน เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY แต่ GPM อาจลดลงเล็กน้อย QoQ จากการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบในช่วงปิดกรีด ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ต่อทุกประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะกับจีน ทำให้ปริมาณการสั่งซื้อหยุดชะงักลงอย่างมีนัยสำคัญ ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อ หรือลดจำนวนการสั่งซื้อ กดดันราคายาง SICOM ลดลงอย่างรวดเร็ว และยังไม่ฟื้นแม้ว่าจะมีการเลื่อนการบังคับใช้ไป 90 วัน เนื่องจากอัตราภาษีใหม่ไม่ได้ถูกบังคับใช้กับจีนประเทศเดียว ซึ่งบริโภคยางค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การใช้ยางของจีนเพื่อการบริโภคในประเทศเอง 60% และการส่งออกโดยตรงจากจีนไปสหรัฐฯ อยู่ที่เพียง 5% ทั้งนี้จะกระทบให้ปริมาณขายใน 3Q25 มีความท้าทายว่าจะถึงระดับ 1 แสนตันหรือไม่ แต่หากเจรจาได้เร็ว เชื่อว่าจะกลับมาเร่งซื้อเพราะสินค้าจะขาดสต๊อก แต่หากยืดเยื้อคาดว่ากำไร 3Q25 จะเป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดของปี กำลังการผลิตใหม่อาจล่าช้าออกไป ... คงคำแนะนำ “ซื้อ”            แม้ว่าผลประกอบการ 3Q25 มีความเสี่ยงไม่เป็นไปตามคาด ประกอบกับแผนการเพิ่มกำลังการผลิตใหม่อาจล่าช้าไปอย่างน้อย 1 ไตรมาส จากเดิมที่คาดว่าเฟสแรกจะแล้วเสร็จใน 2Q26 เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์เพื่อประเมินความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม รายได้จากกำลังการผลิตใหม่ยังไม่รวมในประมาณการ ขณะที่กำไรปี 2025 อาจได้รับผลกระทบจากราคายางที่ปรับตัวลง ทำให้กำไรปี 2025 อาจต่ำเป้าหมายของบริษัทได้ ซึ่งประมาณการกำไรของเราต่ำกว่าเป้าบริษัทราว 10–15% ทำให้โอกาสการปรับประมาณการกำไรขึ้นลดลง แต่ประมาณการเดิมคาดว่ายังอยู่ในกรอบที่เป็นไปได้ โดยหากกำไร 1Q25 ใกล้เคียงคาดจะคิดเป็นสัดส่วน 29% ของคาดการณ์ทั้งปี ราคายาง SICOM และราคาหุ้นสะท้อนความเสี่ยงที่สุดของประเด็น Reciprocal tariff ไปแล้ว หากเจรจาลดลงได้จะหนุนการฟื้นตัว ปัจจุบัน PER25 ต่ำเพียง 5.1 เท่า และจะ XD วันที่ 24 เม.ย. อีก 0.31 บาท Yield 7.0%            เราปรับไปใช้ PER ประเมินมูลค่า 7.25 เท่า จาก 7.45 เท่า ตามการเปลี่ยนไปอิง SET ESG Rating ที่ระดับ A ได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 6.30 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

SAWAD จับตาสินเชื่อฟื้นตัว โบรกแนะ ‘ซื้อ’ เป้า 40.25 บ.

SAWAD จับตาสินเชื่อฟื้นตัว โบรกแนะ ‘ซื้อ’ เป้า 40.25 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. เอเอสแอล ระบุ SAWAD โมเมนตัมการเติบโตเด่นใน 2H25           ผู้บริหารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 10-15% หลังสภาพคล่องดีขึ้นจากการคาดหวังการระดมทุนในตลาดหุ้นกู้ที่กลับมาสู่สภาวะปกติ โดย Focus ในสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก ภายใต้ความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อ (LTV ยังคงอยู่ในระดับต่ำ) ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มองว่ามีโอกาสเติบโต ขณะที่ NIM อาจปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยจาก CoF มีแนวโน้มลดลงใน 2H25F เป็นผลจากได้รับอันดับ Credit rating ที่ A- จากเดิมที่ BBB+ จากทริสเรทติ้ง           ด้าน NPLs ratio ที่ 3-4% และ Credit cost ที่ 1.8-2.0% (ปี 24 = 2%) ส่วนธุรกิจนายหน้าประกันภัย เป้ายอดเบี้ยประกันวินาศภัยเติบโต 30-50% หลังได้รับใบอนุญาตให้ขายประกันผ่านช่องทางออนไลน์ และเป้า D/E ในกรอบ 1.7-2.0 เท่า เทียบกับปีก่อนที่ 2.2 เท่า           เราประเมินกำไรสุทธิปี 25F เท่ากับ 5.46 พันล้านบาท +4% YoY โดยโมเมนตัมของผลประกอบการจะเติบโตเด่นในช่วง 2H25F ทั้งนี้เราคาดว่าสินเชื่อจะขยายตัวเพียง 10% ส่วน Credit cost ลดลงเพียงเล็กน้อยจากปีก่อนมาที่ 1.9% ซึ่งยังพอมี upside เนื่องจากบริษัทได้ clean up Balance sheet ในปีก่อนมาพอสมควรแล้ว และสถานการณ์ผลขาดทุนรถยึดน้อยกว่าคาด ด้าน ROE ปรับตัวลงเหลือ 15.7% จากผลของการจ่ายหุ้นปันผล โดยเรามองเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องแก่บริษัทเพื่อเร่งปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ทั้งนี้เราคาดว่าจะเป็นจุดต่ำก่อนที่จะกลับมาขยายตัวในปี 26F เป็นต้นไป           ในเชิงปัจจัยพื้นฐาน แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 40.25 บาท อิง PBV 1.77 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังระยะยาว (4.9 เท่า) -1.25 SD ตลาดตอบรับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของบริษัทมากเกินไป ทั้งนี้ผู้บริหารมีแผนที่จะจ่ายหุ้นปันผลพร้อมเงินสดอย่างต่อเนื่อง แต่จะเพิ่มอัตราการจ่ายเป็นเงินสดขึ้นจากปีก่อนที่ 1.2%           แนวรับ 29.25-29/28 แนวต้าน 30.50/32.75/35.25

บล.กรุงไทยฯ แนะเก็งกำไร NFLX80X รับงบ Q1/68 ดีกว่าคาด

บล.กรุงไทยฯ แนะเก็งกำไร NFLX80X รับงบ Q1/68 ดีกว่าคาด

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ระบุ Netflix (NFLX80X) เผยงบไตรมาส 1/2568 ดีกว่าคาด พร้อมมองไตรมาส 2/2568 โตเร่งตัวขึ้นจากการปรับราคาแพคเกจเต็มไตรมาส - รายได้ไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ USD 1.05 หมื่นล้านเติบโต 13%YoY และดีกว่าคาดจากจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น การทยอยปรับราคาแพคเกจ แม้มีปัจจัยกดดันจากค่าเงิน โดยรายได้จาก US & Canada เติบโต 9%YoY และ EMEA เติบโต 15%YoY - อัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 31.7% ดีกว่าคาด และปรับขึ้นจาก 28.1% ในปีก่อน ส่งผลให้กำไรเติบโต 25%YoY มาที่ USD 6.61 ต่อหุ้นและดีกว่าคาด - บริษัทให้คาดการณ์ไตรมาส 2/2568 ดีกว่าคาดเล็กน้อยโดยมองรายได้ USD 1.10 หมื่นล้านซึ่งเติบโต 15%YoY อัตรากำไรจากการดำเนินงานขยายตัวต่อเนื่องมาที่ 33.3% และกำไร USD 7.03 ต่อหุ้น แต่คงรายได้ทั้งปี USD 4.35 - 4.45 หมื่นล้าน - ผู้บริหารระบุว่าปัจจุบันบริษัทยังไม่เห็นผลกระทบจากความกังวลด้านเศรษฐกิจส่งผลให้มีการคงประมาณการกำไรทั้งปีดังกล่าว โดยผู้บริหารเชื่อว่าความต่อเนื่องของคอนเทนต์ที่ “ต้องดู” นี้คือกุญแจสำคัญในการดึงดูดความสนใจของสมาชิกทั่วโลก            สำหรับไตรมาส 2/2568 Netflix จะเปิดตัวคอนเทนต์ใหม่มากมาย เช่นภาพยนตร์ Nonnas, Straw, Bullet Train Explosion และซีรีย์ Forever, The Royals ขณะที่ Squid Game ซีซันสุดท้ายจะเปิดตัววันที่ 27 มิถุนายน 2568 กราฟเทคนิค NFLX80X มีลุ้นขยับขึ้นไปทดสอบ High เดิมบริเวณ 3.60 และมีโมเมนตัมบวกจาก RSI ที่ขยับเหนือโซน 70 ภาพรวมเป็นการ sideway up จับตาการ Breakout รอบนี้ แนะซื้อเก็งกำไร

EASTW ยันมีเงินสดพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ 1.2 พันลบ.

EASTW ยันมีเงินสดพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ 1.2 พันลบ.

           อีสท์ วอเตอร์ ยืนยันฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีเงินสดพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ 1,200 ล้านบาท            หุ้นวิชั่น - กลุ่มบริษัท อีสท์ วอเตอร์ ชี้แจงการบริหารจัดการด้านการเงินมีเสถียรภาพที่ดีพร้อมชำระคืนหุ้นกู้ปัจจุบันมีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้น้ำทุกภาคส่วน พร้อมเดินหน้าให้บริการน้ำเต็มรูปแบบ เสริมความมั่นคง และสร้างความยั่งยืนในการบริหารทรัพยากรน้ำ            ตามที่ได้มีข่าวเผยแพร่เกี่ยวกับการชำระหุ้นกู้และกระแสเงินสด เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 ที่ผ่านมานั้น กลุ่มบริษัท อีสท์ วอเตอร์ เปิดเผยว่า การบริหารจัดการชำระหุ้นกู้ ครั้งที่ 1/2558 ชุดที่ 2 ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 จำนวนเงิน 1,200 ล้านบาท กลุ่มบริษัทอีสท์ วอเตอร์ ได้เตรียมเงินสดสำหรับไถ่ถอนหุ้นกู้ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนการบริหารจัดการด้านกระแสเงินสด กลุ่มบริษัทอีสท์ วอเตอร์ มีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีมาโดยตลอด  และยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้  โดยกระแสเงินสดปลายปี 2567 จำนวนเงินรวม 261.98 ล้านบาท อยู่ในเกณฑ์การบริหารจัดการตามหลักปฏิบัติที่ดีด้านกระแสเงินสดเพื่อบริหารต้นทุนการเงินที่มีประสิทธิภาพมาอย่างต่อเนื่อง            กลุ่มบริษัทอีสท์ วอเตอร์ มุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจที่ได้รับนโยบาย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2535 ยืนยันในศักยภาพการบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก หลังจากโครงการวางท่อทดแทนระบบท่อซึ่งส่งมอบคืนแก่กระทรวงการคลังเสร็จสมบูรณ์แล้วในปลายปี 2567 ทำให้อีสท์วอเตอร์มีโครงข่ายท่อ หรือ Water Grid ที่สมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาคชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ซึ่งจะเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจยิ่งขึ้นในอนาคต โดยการดำเนินการตั้งแต่ต้นปี 2568 บริษัทมั่นใจแนวโน้มการผ่านพ้นจุดต่ำสุดในปี 2567 โดยจะเห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ต้นปี 2568 ที่ผ่านมา            ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทอีสท์ วอเตอร์ ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่และต่อเนื่องจากผู้ถือหุ้นหลักทุกรายภายใต้การดำเนินงานตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยในปี 2567 อีสท์ วอเตอร์ได้รับการประเมินด้านการกำกับดูแลกิจการจากสถาบัน IOD อยู่ในเกณฑ์ระดับดีเลิศ ซึ่งสะท้อนถึงความทุ่มเทในการสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการ และความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน สิ่งแวดล้อม  และคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม

SET วันนี้แกว่ง Sideway แนะ BEM โดดเด่นกำไรโต

SET วันนี้แกว่ง Sideway แนะ BEM โดดเด่นกำไรโต

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น  รายงานว่า นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (21 เมษายน 2568) คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยปัจจัยหนุนยังคงมาจากภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ออกมาค่อนข้างแข็งแกร่ง            อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงต้องติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ซึ่งมีกำหนดการในวันที่ 23 เมษายนนี้ โดยจะมีผู้แทนรัฐบาลนำโดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ในฐานะหัวหน้าคณะ เดินทางไปเจรจาเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับทางรัฐบาลสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตาคือการประกาศคาดการณ์เศรษฐกิจโลกจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก            สำหรับแนวรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,130 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,155-1,160 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุน แนะนำ “ถือ” หุ้นบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM โดยคาดว่ากำไรในปีนี้ 2568 จะเติบโตทำสถิติใหม่ และได้รับแรงสนับสนุนจากสัญญาณบวกของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

ผถห.THAI ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ตั้งเป้ากลับเข้าเทรด SET ภายใน ก.ค.68

ผถห.THAI ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ตั้งเป้ากลับเข้าเทรด SET ภายใน ก.ค.68

           หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (THAI) มีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่จำนวน 11 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยกรรมการเดิม 3  ท่าน และกรรมการเข้าใหม่ 8 ท่าน จากผลการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 และเมื่อจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการดังกล่าวกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเสร็จเรียบร้อยจะส่งผลให้บริษัทฯ ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขในการยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ  จะเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ เมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ จะเดินหน้ากระบวนการขออนุญาตนำหุ้นกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกครั้ง โดยคาดว่าจะสามารถนำหุ้น THAI กลับเข้าเทรดได้ภายในเดือนกรกฎาคมของปีนี้            ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการบริษัททั้งหมดได้รับการพิจารณาโดยคณะผู้บริหารแผนฯ และคณะทำงานสรรหาและกำหนดค่าตอบแทนว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนและเหมาะสมกับการประกอบธุรกิจของการบินไทย ตลอดจนมีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญซึ่งสอดคล้องกับ Board Skills Matrix ของบริษัทฯ อันเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ทั้งยังสามารถที่จะพัฒนากลยุทธ์ และขับเคลื่อนบริษัทฯ และบริษัทย่อยให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยคณะกรรมการ ซึ่งประกอบด้วยกรรมการปัจจุบัน 3 ท่านและกรรมการใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันนี้จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ทันทีที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ            ดร. ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลงมติแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัทชุดใหม่ครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการปลดล็อกภารกิจฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้การบินไทยพร้อมกลับเข้าสู่การเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีคุณภาพของตลาดทุนไทยอีกครั้ง พร้อมต่อยอดการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ในฐานะสายการบินที่คนไทยภาคภูมิใจโดยตลอดช่วงเวลาของการฟื้นฟูกิจการที่ผ่านมา เราได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูฯ อย่างเคร่งครัด ทั้งการมีวินัยในการชำระหนี้โดยไม่ผิดกำหนดนัดชำระ มุ่งมั่นสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเพื่อให้ EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการมากกว่า 20,000 ล้านบาทตามเงื่อนไขตามแผนฟื้นฟูฯ โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินอยู่ที่ 41,473 ล้านบาท ตลอดจนทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวกโดยการปรับโครงสร้างทุนผ่านการแปลงหนี้เป็นทุนและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ณ สิ้นปี 2567 เป็นบวกที่ 45,495 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้ ถือว่าบรรลุทุกเงื่อนไขที่กำหนดในการยื่นคำร้องขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ”            นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราให้ความสำคัญสูงสุดกับการยกระดับคุณภาพการบริการในทุกจุดสัมผัสของลูกค้า รวมถึงการนำเสนอบริการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบินไทยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระดับโลก และพร้อมปรับตัวให้ทันกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม เทคโนโลยี หรือพฤติกรรมของผู้โดยสาร โดยเรามีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการจัดหาฝูงบินใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิตในการสร้างการเติบโตและความสามารถในการจ่ายหนี้ตามกำหนดในแผนฟื้นฟูฯ และดำเนินการแบบสายการบินเครือข่าย (Network Airline) เพื่อสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้ในเส้นทางภูมิภาค (Regional Route) มากขึ้น พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจอื่น ๆ ทั้งการขนส่งสินค้า ครัวการบิน และการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO)”            “เมื่อการบินไทยได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการตามที่ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งอนุมัติการแต่งตั้งกรรมการบริษัทในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว จะถือว่าการบินไทยได้บรรลุเป้าหมายสำคัญในการดำเนินการตามเงื่อนไขของแผนฟื้นฟูฯ ได้ครบถ้วน พร้อมเดินหน้ายกเลิกการฟื้นฟูกิจการและนำหุ้น ‘THAI’ กลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ภายในเดือนกรกฎาคมของปีนี้ ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการฟื้นคืนสถานะทางการเงินเท่านั้น หากยังเป็นการประกาศจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ขององค์กรที่แข็งแกร่ง และพร้อมแข่งขันในระดับสากล โดยที่เรายังคงมุ่งมั่นพัฒนา ยกระดับขีดความสามารถการดำเนินงานในทุกมิติ ดำเนินงานอย่างโปร่งใส ภายใต้หลักธรรมาภิบาล เพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน” นายชาย เอี่ยมศิริ กล่าวเสริม            สำหรับคณะกรรมการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ตามมติของที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2568 ประกอบด้วยกรรมการปัจจุบันของบริษัทฯ จำนวน 3 ท่าน ได้แก่ (1) ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ (2) นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร (3) พลอากาศเอก อำนาจ จีระมณีมัย และกรรมการเข้าใหม่ที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติแต่งตั้ง 8 ท่าน ได้แก่ (1) นายลวรณ แสงสนิท (2) ดร.กุลยา ตันติเตมิท (3) นายชาครีย์ บำรุงวงศ์ (4) พลตำรวจเอก ธัชชัย ปิตะนีละบุตร (5) นายณปกรณ์ ธนสุวรรณเกษม (6) นายยรรยง เดชภิรัตนมงคล (7) นายสัมฤทธิ์ สำเนียง (8) นายชาย เอี่ยมศิริ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร)

ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ ส่องหุ้นรับอานิสงส์รัฐเดินเกมรุก

ลุ้นเจรจาสหรัฐฯ ส่องหุ้นรับอานิสงส์รัฐเดินเกมรุก

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. เอเอสแอล ระบุ ภาพรวมการรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ยังคงสดใส โดย KTB รายงานกำไรสุทธิที่ 1.17 หมื่นล้านบาท ดีกว่าที่ตลาดคาดราว 5% จากกำไรจากเงินลงทุนที่ดีกว่าคาด ส่วนเช้าวันนี้มีรายงานผลประกอบการของ KBANK-SCB และมี Analyst Meeting หากกำไรสุทธิออกมาดีกว่าคาด หรือมี outlook ในเชิงบวก อาจ outperform ตลาดในวันนี้            ขณะที่รัฐบาลจะส่งผู้แทนการเจรจาการค้า (นำโดยคุณพิชัย) กับสหรัฐฯ วันที่ 23 เม.ย. นี้ โดยเป็นการพูดคุยกับระดับรัฐมนตรีของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวทางการเจรจาคือ นำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานมากขึ้น หรือขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงจะปรับเกณฑ์ FDI ให้ลดการสวมสิทธิ์ให้มากขึ้น ซึ่งคาดหวังว่าจะมีทิศทางในเชิงบวกเหมือนญี่ปุ่น            ในระยะสั้นอาจกระทบต่อภาคการส่งออก และเม็ดเงิน FDI ส่วนระยะกลาง-ยาวน่าจะได้รับการชดเชยจากแผนลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศของรัฐได้ เช่น โครงการ EEC, ท่าเรือ และรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น            ในเชิงกลยุทธ์ แนะนำ Selective Buy หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการรับมือเชิงรุกของรัฐต่อ Trade Tariff เช่น PTTGC, PTTEP, GULF, GPSC, CPF            ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway ในกรอบ 1,130-1,160 จุด

BKA หุ้นกลุ่มอสังหาฯ เริ่มเทรด mai 22 เม.ย. นี้

BKA หุ้นกลุ่มอสังหาฯ เริ่มเทรด mai 22 เม.ย. นี้

          นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายใน mai ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “BKA” ในวันที่ 22 เมษายน 2568           BKA ดำเนินธุรกิจหลัก 3 ประเภท ได้แก่ บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง) เป็นนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) และซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) โดยมุ่งเน้นบ้านมือสอง ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ และทาวน์โฮม บริษัทดำเนินธุรกิจบ้านแต่งเป็นหลัก โดยรับฝากขายและปรับปรุงให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย มีการออกแบบที่สวยงาม มีคุณภาพ พร้อมรับประกันผลงาน บริษัทมีความเชี่ยวชาญในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ งวดปี 2567 มีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบ้านแต่ง : ธุรกิจบ้านฝาก : ธุรกิจบ้านตัด คิดเป็นร้อยละ 77 : 1 : 22 ตามลำดับ โดยปี 2567 บริษัทขายบ้านได้รวม 254 หลัง แบ่งเป็น บ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัดได้ที่ขายได้จำนวน 150 หลัง 71 หลัง และ 33 หลัง ตามลำดับ           BKA มีทุนชำระแล้วหลัง IPO 105 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 150 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 60 ล้านหุ้น เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ไม่น้อยกว่า 45 ล้านหุ้น ผู้มีอุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 9 ล้านหุ้น กรรมการ และผู้บริหารของบริษัทไม่เกิน 6 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ลงทุนทุกประเภทระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 108 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 378 ล้านบาท ทั้งนี้ การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ที่ประมาณ 10 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลประกอบการปี 2567 ซึ่งเท่ากับ 36.82 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.18 บาท โดยมีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) เปิดเผยว่า บริษัทยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด เนื่องจากธุรกิจนี้ต้องใช้ ความชำนาญขั้นสูงในการปรับปรุงบ้านเก่าที่ทำได้ยากกว่าสร้างบ้านใหม่ บริษัทมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการปรับปรุงและตกแต่งบ้าน มีช่องทางการเสนอขายบ้านผ่านสื่อออนไลน์   ออฟไลน์ และจัดทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย รวมถึงสามารถให้คำแนะนำในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ดูแลการทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สิน และมีใบรับประกันหลังการขาย สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อต่อยอดธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสอง และพัฒนาธุรกิจ “Property Technology” ซึ่งเป็น Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์           BKA มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ ครอบครัวธนวงศ์เกษม ถือหุ้น 43.57% นายภัคพล เพ็ชร์แย้ม ถือหุ้น 18.57% และนางสาวจรินทร์ อุณหะกะ ถือหุ้น 5.18% โดยบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ หลังหักเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และในข้อบังคับของบริษัท           ผู้ลงทุนและผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียด จากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.bangkokasset.co.th และ www.set.or.th

บล.กรุงศรี คาด SET แกว่งในกรอบ ชูหุ้นอิงเจรจา Trade Tariff

บล.กรุงศรี คาด SET แกว่งในกรอบ ชูหุ้นอิงเจรจา Trade Tariff

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.กรุงศรี คาด SET วันนี้ “แกว่งในกรอบ” ต้าน 1160/1165จุด รับ 1143/1138 จุด ตลาดแกว่งรอปัจจัยใหม่ นำโดย 1.) พัฒนาการ Trade Tariff คงมุมมองเดิมว่าน่าจะมีโอกาสเห็นพัฒนาการด้านบวกเรื่อยๆ สัปดาห์นี้ จับตารองประธานาธิบดีสหรัฐ Vance เข้าพบนายกอินเดีย และ 23 เม.ย. ไทยเข้าพบผู้แทนการค้าสหรัฐฯ 2.) รายงาน Flash PMI ภาคผลิตและบริการ เม.ย. 25 ซึ่งเป็นเดือนแรกที่เริ่มมีผลกระทบภาษีการค้า 3.) ภายในรัฐฯเริ่มหาแนวทางหนุนเศรษฐกิจ ในส่วนการก่อหนี้เพิ่มเพื่อเร่งลงทุน เพื่อชดเชยความเสี่ยงภายนอก หนุนตลาดที่กำลังเล่นกับ Recovery Plays จากภาวะ Deep Value คือ Current Equity Risk Premium ที่ 5.15% > Avg. +2 S.D. 4.) วันนี้ติดตามผลประชุมธนาคารกลางจีน (PBOC) แม้ตลาดคาดคงดอกเบี้ย แต่อาจส่งสัญญาณพร้อมปรับลดเพื่อหนุนเศรษฐกิจ จากผลกระทบ Trade Tariff ประเมิน SET วันนี้แกว่งในกรอบรอฟื้นตัว หุ้นนำ คือ หุ้นอิงการเจรจา Trade Tariff (CPF, PTTGC, GULF, GPSC), กลุ่มอิงรัฐฯเตรียมเร่งลงทุน (ธนาคาร, รับเหมา) กลุ่มสื่อสาร (คาดมีความชัดเจนเกณฑ์ประมูลคลื่นวันนี้)           วันนี้แนะนำ CPF, GULF, TASCO

SAFE คาด Q2 กำไรฟื้น ดีมานด์ปีมะเมียหนุน เป้า 13.20 บาท

SAFE คาด Q2 กำไรฟื้น ดีมานด์ปีมะเมียหนุน เป้า 13.20 บาท

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. กรุงศรี แนะนำ Buy สำหรับ SAFE เนื่องจากคาดกำไรสุทธิเติบโตต่อปี +13% CAGR 25F-27F (สมมติฐานไม่รวมลูกค้าจีน) และมีโอกาสได้ประโยชน์จากการผ่านกฎหมายอุ้มบุญ แนวโน้ม 1Q25F คาดกำไรสุทธิ (-60% y-y +13% q-q) กลับมาเติบโต q-q ตามการใช้บริการและมีจำนวนรอบการเก็บไข่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ตั้งแต่ 2Q25F คาดมีปัจจัยบวกความต้องการมีลูกในปีมะเมีย จะทำให้กำไรสุทธิเติบโตทั้ง y-y q-q เป็นไตรมาสแรกนับจาก 2Q24 ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 25F เทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -2.0SD มองเป็นโอกาสลงทุน คาดกำไรสุทธิ 1Q25F ที่ 27 ลบ. (-60% y-y +13% q-q)           เราคาดว่าใน 1Q25F จะมีกำไรสุทธิ 27 ลบ. (-60% y-y +13% q-q) ลดลง y-y แต่กลับมาเติบโต q-q เนื่องจาก 1) คาดรายได้ให้บริการรวม (-29% y-y +4% q-q) ลดลง y-y ตามจำนวนรอบการเก็บไข่และฝังตัวอ่อนใน 1Q24 ฐานสูงจากความต้องการมีลูกปีมังกร ส่วนรายได้ให้บริการคาดฟื้นตัวได้ q-q จากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติมีจำนวนรอบการเก็บไข่เพิ่มขึ้น 2) คาด Gross margin 55.3% ลดลง y-y แต่ดีขึ้น q-q ตามทิศทางรายได้ และมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้น q-q และ 3) คาดค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น q-q ในอัตราน้อยกว่าการฟื้นตัวของรายได้ แนวโน้ม 2Q25F เริ่มเห็นการเติบโต y-y และ q-q           หากกำไรสุทธิ 1Q25F เป็นไปตามเราคาด จะคิดเป็น 16% ของกำไรสุทธิปี 25F ที่ 170 ลบ. (+2% y-y) โดยประมาณการกำไรสุทธิของ SAFE เรารวมความเสี่ยงลูกค้าจีนในสมมติฐานจำนวน OPU cycle ไว้แล้ว แนวโน้ม 2Q25F คาดกำไรสุทธิกลับมาเติบโตได้ y-y (2Q24 กำไรสุทธิ 47 ลบ.) และเติบโตต่อเนื่อง q-q เนื่องจากคาดจะมีจำนวนรอบการเก็บไข่และฝังตัวอ่อนเพิ่มขึ้นจากความต้องการมีลูกในปีมะเมีย ทำให้คาดรายได้ให้บริการเติบโต y-y และ q-q เป็นไตรมาสแรกนับจาก 2Q24 ประกอบกับคาด Gross margin ดี y-y และ q-q จากมี Economies of scale ของการใช้บริการเพิ่มขึ้น คำแนะนำ           แนะนำ Buy สำหรับ SAFE ราคาเป้าหมาย (TP25F) 13.20 บาท วิธี DCF WACC 9.7% เนื่องจาก 1) คาด 2Q25F กำไรสุทธิกลับมาเติบโต y-y และ q-q เร็วกว่าที่คาดเดิมใน 2H25F และ 2) ประมาณการกำไรสุทธิเรารวมกรณีไม่มีลูกค้าจีนไว้แล้ว คาดกำไรสุทธิเติบโตต่อปี +13% CAGR 25F-27F ส่วน Valuation หุ้น SAFE ซื้อขาย PE ปี 25F เทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -2.0SD ยังมองเป็นโอกาสลงทุนเพื่อรับการฟื้นตัวของกำไรสุทธิปีนี้เป็นต้นไป

KTC กำไร Q1 ที่ 1,861 ลบ. ตามคาด  โบรกแนะซื้อ เป้า 55 บ.

KTC กำไร Q1 ที่ 1,861 ลบ. ตามคาด โบรกแนะซื้อ เป้า 55 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล. กรุงศรี คงคำแนะนำ KTC BUY และคง TP25F ที่ 55 บ. ทีมวิจัยชอบ KTC เพราะ i) คาดมาตรการของ ธปท. จะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ ii) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง iii) มีจุดแข็งเรื่องงบดุล iv) กำไรสุทธิปี 2025F คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปี 2024 สำหรับกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1,861 ลบ. ใกล้เคียงกับเราและตลาดคาด โดยกำไรเพิ่มขึ้น +3% y-y เพราะการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ และการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ขณะที่กำไรลดลง -2% q-q เพราะการลดลงของสินเชื่อรวม NIM และรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดี NPL Ratio อยู่ที่ 1.97% ใกล้กับ 4Q24 กำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1,861 ลบ. เพิ่มขึ้น +3% y-y ลดลง -2% q-q           KTC รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 1,861 ลบ. ใกล้เคียงกับเราและตลาดคาด โดยกำไรเพิ่มขึ้น +3% y-y เพราะ i) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น +3% y-y จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ii) ค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง -5% y-y จากช่วงที่ผ่านมา มีการตั้งสำรองล่วงหน้าไว้แล้ว และคุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น ขณะที่กำไรลดลง -2% q-q จาก i) รายได้ดอกเบี้ย (NII) ลดลง -3% q-q จากสินเชื่อรวมลดลง -4% q-q คิดเป็น -4% YTD หลักๆ จากสินเชื่อบัตรเครดิตตามปัจจัยฤดูกาลที่ช่วง 4Q ของทุกปียอดใช้จ่ายผ่านบัตรสูง และ NIM อยู่ที่ 13.1% ลดลงจาก 4Q24 ที่ 13.5% จากการลดลงของ yield on loan ii) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ลดลง -3% q-q จากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ ด้านคุณภาพสินทรัพย์บริหารได้ดี Gross NPL ลดลง -3% q-q ทำให้ NPL Ratio อยู่ที่ 1.97% ใกล้กับ 4Q24 ที่ 1.95%           กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 23% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2025F คาดที่ 8.12 พันลบ. เพิ่มขึ้น +9% y-y คาดกำไรสุทธิ 2Q25F เพิ่มขึ้น y-y ทรงตัว q-q           เราคาดกำไรสุทธิ 2Q25F เพิ่มขึ้น y-y ทรงตัว q-q จากการเพิ่มขึ้นของรายได้รวม ทั้งสินเชื่อรวม NIM และรายได้ค่าธรรมเนียม-บริการ รวมถึงการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) คำแนะนำ           เราคงคำแนะนำ BUY และคง TP25F ที่ 55 บ. เราชอบ KTC เพราะ i) คาดมาตรการของ ธปท. จะช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้ ii) ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง iii) มีจุดแข็งเรื่องงบดุล iv) กำไรสุทธิปี 2025F คาดทำจุดสูงสุดใหม่ต่อจากปี 2024

KBANK กำไร Q1 โต 1.08% รายได้ดบ.ลด-NIMอยู่ที่ 3.41% 

KBANK กำไร Q1 โต 1.08% รายได้ดบ.ลด-NIMอยู่ที่ 3.41% 

           หุ้นวิชั่น - บมจ.ธนาคารกสิกรไทย KBANK และบริษัทย่อย รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ยังคงรักษาความแข็งแกร่ง แม้เผชิญความท้าทายจากภาวะดอกเบี้ยและเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน โดยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารอยู่ที่ 13,791 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า            รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2,761 ล้านบาท หรือ 7.23% สะท้อนแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในตลาด อย่างไรก็ตาม ธนาคารสามารถรักษา อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ (NIM) ไว้ที่ระดับ 3.41% ผ่านการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง            ในขณะเดียวกัน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ขยายตัวได้ดี เพิ่มขึ้น 1,826 ล้านบาท หรือ 15.39% จากกำไรในเครื่องมือทางการเงินตามมูลค่ายุติธรรม รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากการลงทุน ส่งผลให้รายได้จากการดำเนินงานสุทธิปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยที่ 935 ล้านบาท หรือ 1.87%            ด้านการควบคุมต้นทุน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า จากการบริหารประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) อยู่ที่ 40.84%            เพื่อเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวัง โดยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ระดับ 9,818 ล้านบาท อย่างเหมาะสม            เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการดำเนินงานสุทธิเพิ่มขึ้น 397 ล้านบาท หรือ 0.81% ขณะที่ค่าใช้จ่ายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 2,243 ล้านบาท หรือ 10.06% ทำให้ กำไรจากการดำเนินงานก่อน ECL และภาษี เพิ่มขึ้นเป็น 29,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.99%            ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม 4.36 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.33% จากสิ้นปี 2567 โดยมีอัตราส่วน NPL อยู่ที่ 3.19% และ Coverage Ratio อยู่ที่ 159.49% สะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่มั่นคง พร้อมอัตราส่วนเงินกองทุนตามเกณฑ์ Basel III ที่แข็งแกร่ง 20.52%

KKP กำไร Q1/68 ลด 29.5% รายได้ ดบ. ทรุด-สินเชื่อชะลอ

KKP กำไร Q1/68 ลด 29.5% รายได้ ดบ. ทรุด-สินเชื่อชะลอ

           หุ้นวิชั่น -  ไตรมาส 1/2568 ธนาคารเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 1,062 ล้านบาท ปรับลดลง ร้อยละ 29.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567 โดยหลักจากการลดลงของ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ซึ่งปรับลดลง ร้อยละ 15.4 อันเป็นผลมาจากการชะลอตัวของสินเชื่อตามมาตรการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารที่มุ่งเน้นการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มที่มีคุณภาพสูง และจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยตามการปรับลดลงของ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย            ทางด้านรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ในส่วนของ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ยังสามารถทำได้ในระดับที่ดี โดยปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.4 โดยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และธุรกิจการจัดการกองทุน ซึ่งมีรายได้ปรับเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การให้คำแนะนำการลงทุน และสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2567            ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในส่วนของ กำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน ปรับลดลงตามภาวะตลาด ส่งผลให้ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยรวม ปรับตัวลดลง ร้อยละ 4.6            ทางด้าน ผลขาดทุนจากการขายรถยึด ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยลดลง ร้อยละ 51.9 จากไตรมาส 1/2567 ธนาคารยังคงมีความระมัดระวังในการพิจารณาตั้งสำรอง โดย ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น สำหรับไตรมาส 1/2568 มีจำนวน 1,104 ล้านบาท            สำหรับ อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ ร้อยละ 131.0 ขณะที่ อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวม อยู่ที่ ร้อยละ 4.4

หุ้นที่ราคาลงลึก

หุ้นที่ราคาลงลึก

           หุ้นวิชั่น - บรรยากาศการลงทุนตลาลหุ้นไทยสัปดาห์นี้ คาดดัชนีจะอิงกับการเจรจาการค้าของประเทศต่างๆ และรายงานการส่งงบของหุ้นธนาคาร ปัจจัยต่างประเทศต้องติดตาม คือ การเจรจาระหว่างสหรัฐฯ – จีน ทรัมป์เผยอาจเปิดใจยอมลดภาษีจีนลงก็ได้ แม้ก่อนหน้าจะปรับเพิ่มภาษีนำเข้าจีนเพิ่มสูงถึง 145% และสินค้าบางรายการ เช่น เข็มฉีดยา อาจถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 245%            ขณะที่ประเทศอื่นๆ ทยอยเข้ามาเจรจาบ้างแล้วในสัปดาห์ก่อน อาทิ ญี่ปุ่น อิตาลี(ยุโรป) อินโดนีเซีย เป็นต้น ซึ่งต่างก็เป็นลักณะของการรอมชอม ....สถานการณ์ช่วงนี้จะเป็นเรื่องของการเจรจา 90 วัน จะไม่ได้รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้แล้ว แต่ควรระมัดระวังการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐฯ ทอง หรือ น้ำมัน ซึ่งมีความผันผวนสูงในช่วงนี้ จับตา 3 งบแบงก์            หุ้นกลุ่มธนาคารจะประกาศงบไตรมาส 1/68 เสร็จสิ้นคาดไม่เกินวันนี้(21 เม.ย.68) โดยธนาคารที่ประกาศงบไปแล้ว คือ TISCO, BBL และ TTB ซึ่งวันนี้คาดว่า จะประกาศครบทุกตัว คือ KBANK คาดกำไรสุทธิ 1.30 หมื่นล้านบาท, KKP คาดกำไรสุทธิ 1.28 พันล้านบาท, SCB คาดกำไรสุทธิ 1.14 หมื่นล้านบาท .... คาดมีแรงซื้อกลับซื้อกลับ เนื่องจากส่วนใหญ่ราคาปรับตัวลงจากการประกาศขึ้น “XD” ไปบ้างแล้ว ไทยเจรจาสหรัฐฯ            ทีมไทยแลนด์เตรียมเข้าพบผู้แทนการค้าสหรัฐฯ 23 เม.ย.นี้ เพื่อเจรจาหาทางออกจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ไทยถูกจัดเก็บสูงถึง 36% โดยคาดว่ารัฐบาลจะเสนอข้อแลกเปลี่ยน นำเข้า ก๊าซ LNG เพิ่มอีกกว่า 1 ล้านตันใน 5 ปี พร้อมพิจารณานำเข้าก๊าซอีเทน 4 แสนตันภายใน 4 ปี ส่วนภาคเกษตรจะเน้นนำเข้าที่ไม่กระทบกับเกษตรกรไทย สำหรับผลิตอาหารสัตว์ส่งออก            บอร์ดคัดเลือกผู้ว่าการธปท. เล็งเปิดประชุมภายในเดือนเม.ย.นี้ เพื่อสรรหาผู้ว่าการธปท.คนใหม่แทนนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ที่จะหมดวาระเดือนก.ย. 68 โดยจะต้องเริ่มคัดเลือกภายใน 90 วันก่อนผู้ว่าคนก่อนครบวาระ .... นักลงทุนยังให้ความสนใจในประเด็นนี้ มีความกังวลว่ารัฐบาลอาจมีอิทธิพลต่อความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ ระวัง! 17หุ้นXD            สัปดาหนี้ มีหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย “XD” ทั้งหมด 17 หลักทรัพย์ อาทิ KGI, HMPRO, SAPPE, BAM, BBL, TISCO, TTB เป็นต้น ควรระวังแรงขายหุ้นทั้งก่อนและหลัง “XD” …. หากราคาหุ้นเหล่านี้ ปรับตัวลงเท่ากับเงินปันผลที่จ่ายออกมารอบนี้ จะมีผลต่อ SET Index ราว -2.0 จุด            ตลาดหุ้นไทย น่าจะตอบรับกับการผ่อนคลายในเรื่องมาตรการภาษีของ Trump กลยุทธ์ลงทุน ยังเป็นจังหวะซื้อต่อ ควรเลือกหุ้นตัวหลักๆของตลาด หรือหุ้นที่ราคาลงมามาก(จริงๆ)และมีสัญญาณไปต่อ เป้าดัชนีฯ รอบนี้จะไปอยู่ในโซน 1150-1200 จุด คัดหุ้นราคาลงลึก            หุ้นกลุ่มที่อิงกับหรือกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ยังเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวัง แม้กลุ่มนิคมฯ + ชิ้นส่วนรถยนต์ จะเป็น 2 กลุ่มที่ได้ข่าวบวก แต่กลุ่มอื่นๆ ที่เหลือ ยังต้องรอคอยกันต่อไป ได้แก่ กลุ่มยางพารา และ กลุ่มสินค้าส่งออก บางตัว อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง อีเล็คทรอนิคส์ ปิโตรเคมี เดินเรือ ท่องเที่ยว             หุ้น ที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่จะซื้อหุ้นที่ราคาลงมาลึก ประกอบด้วย WHA*, SCGP, PTTEP, BGRIM, HANA* (ที่มา-บล.ดาโอ) การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง By ทีมงานหุ้นวิชั่น

[Vision Exclusive] เปิดลิสต์หุ้นอรหันต์ mai AU–KLINIQ–JPARK วิน

[Vision Exclusive] เปิดลิสต์หุ้นอรหันต์ mai AU–KLINIQ–JPARK วิน

          หุ้นวิชั่น - โกลเบล็กเปิดชื่อ 3 หุ้นเด่นโค้งแรก ฟอร์มร้อนแรง! กำไรโตสวนกระแส ชูหขนมวาน AU โกยยอดขายเซเว่น บินสูงกับการบินไทย เคาะกำไรพุ่ง 38% หรือ 75 ล้านบาท ฟาก JPARK บุ๊กเงินเมกะโปรเจกต์ที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเต็มไตรมาส ด้าน KLINIQ สยายปีกความงามต่อเนื่อง อัพไซต์สูง 35% ชี้พิกัด 36 บาท           นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าว “หุ้นวิชั่น” ว่า ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ออกมาดี โดยมีบริษัทที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท อาฟเตอร์ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ AU, บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ, และบริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK           สำหรับ AU คาดว่ากำไรในไตรมาส 1/2568 จะอยู่ที่ราว 75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 13% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากช่วง รอมฎอน (1–31 มี.ค. 2568) ซึ่งส่งผลต่อสาขาในภาคใต้ ทั้งจากลูกค้าในพื้นที่และนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ทำให้ SSSG ภาพรวมติดลบราว 2–3% อย่างไรก็ตาม คาดว่ากำไรยังเติบโตได้จากการจำหน่ายสินค้าในร้าน 7-Eleven ที่เริ่มมาตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 และการเป็น พันธมิตรกับสายการบินไทย ภายใต้สัญญาที่เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค. 2567 แม้ว่า อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อาจปรับลดลงสู่ระดับ 63.7% (เทียบกับ 66.5% ใน 1Q67 และ 64.5% ใน 4Q67) เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากหน้าร้านลดลง แต่มีรายได้จาก 7-Eleven เข้ามาทดแทน ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมอง “เป็นกลาง” ต่อแนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2568 ที่อ่อนตัวจากไตรมาสก่อน แต่ยังคงมีมุมมอง “เชิงบวก” ต่อแนวโน้มทั้งปี 2568 จาก แผนขยายสาขา After You อีก 5–6 แห่ง การขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับการจำหน่ายสินค้าใน 7-Eleven ครอบคลุมครบ 15,000 สาขาทั่วประเทศ การเพิ่มสินค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Categories) ที่วางจำหน่ายใน 7-Eleven การเปิดร้าน After You แบบแฟรนไชส์ในต่างประเทศเพิ่มอีก 1–2 แห่ง คาดว่ากำไรสุทธิของปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 327 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY พร้อมประเมินราคาเหมาะสมที่ 13.50 บาท มีอัพไซด์ 35% พร้อมแนะนำ “ซื้อ”           ส่วน JPARK ฝ่ายวิเคราะห์คาดผลประกอบการไตรมาส 1/2568 มีโอกาสเติบโตทั้งจากไตรมาสก่อนหน้าและช่วงเดียวกันกับปีก่อน เนื่องจากจะเริ่มมีการรับรู้รายได้โครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์อีกกว่า 1 พันตารางเมตร ประกอบกับธุรกิจ PS เริ่มเห็น U-Rate ที่ฟื้นตัวดีขึ้น ฝ่ายวิเคราะห์ประมาณการรายได้ปี 2568 ราว 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +23% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน โดยมีแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการพระนั่งเกล้าเต็มปีเป็นครั้งแรก และธุรกิจ PS มี 1 โครงการใหม่ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรก 2568 ทั้งนี้เราคาดกำไรปกติปี 2568 เท่ากับ 98 ล้านบาท เติบโต +9.9% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสมที่ 5.85 บาท           ขณะที่ KLINIQ คาดการณ์รายได้ไตรมาส 1/2568 จะเติบโตจากช่วงเดียวกันกับปีก่อน แต่ปรับตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า โดยรายได้เติบโตเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อนมาจากการเติบโตของสาขาเดิมและยอดขายสาขาใหม่ ในงวด ไตจรมาส 1/2568 บริษัทเปิดสาขาใหม่ 1 สาขา แบรนด์ L’Clinic ที่ซีคอน ศรีนครินทร์           ขณะที่คาดรายได้ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากฐานรายได้สูงในไตรมาส 4/2567 ที่ผ่านมา จากพฤติกรรมลูกค้าที่ใช้บริการมากในช่วงไตรมาส 4 คาดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น ใกล้เคียงกับในไตรมาส 4/2567 ที่ระดับ 54.0% เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่เพียง 1 สาขาทำให้ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นมากนัก           ฝ่ายวิเคราะห์คงประมาณการณ์กำไรปี 2568 ที่ 418 ล้านบาท เติบโต 30% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อนมาจากคาดรายได้ที่ 3,490 ล้านบาท เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและรายได้ของสาขาใหม่           ทั้งนี้ปี 2568 ตั้งเป้าเปิด 10 สาขา จากจำนวน 72 สาขาเมื่อสิ้นปี 2567 เพิ่มเป็น 82 สาขาในปี 2568 ขณะที่สมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 53.4% ปรับตัวขึ้นจากระดับ 51.7% ในปี 2567 เนื่องจากปี 2567 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา ปิด 3 สาขา การเปิดสาขาจำนวนมากระดับ 20 สาขาทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาเข้ามาก่อนในช่วงแรก ทั้งค่าเช่าที่ ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ รวมถึงค่าบุคลากร เป็นต้น           ฝ่ายวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ Prospective PER ที่ 19x เป็นระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 2568 เท่ากับ 1.90 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 2568 เท่ากับ 36.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 15% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 5.5% ต่อปี จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

[Vision Exclusive] SONIC โอกาสทองขนส่งสหรัฐฯ

[Vision Exclusive] SONIC โอกาสทองขนส่งสหรัฐฯ

            หุ้นวิชั่น - SONIC เร่งเครื่องรับดีมานด์ขนส่งพุ่ง! สหรัฐฯ ผ่อนปรนภาษีนำเข้า 90 วัน ดันวอลุ่มทะลัก ลุยหาพื้นที่รองรับเต็มสูบ ด้านพ่อทัพใหญ่ "สันติสุข โฆษิอาภานันท์" พร้อมเสริมทัพด้วยโปรเจกต์ Non-Logistics สุดจี๊ด กำเงินสด 400 ล้าน พร้อมขยายศักยภาพรอบด้าน             ดร.สันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โซนิค อินเตอร์เฟรท จำกัด (มหาชน) หรือ SONIC เปิดเผยกับทีมข่าว “หุ้นวิชั่น” ว่า จากกรณีที่สหรัฐฯ เคยประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้าสู่สหรัฐฯ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าว             อย่างไรก็ตาม ต่อมาได้ประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษีนำเข้าออกไป ส่งผลให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะเส้นทางสู่สหรัฐฯ กลับเข้าสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ขณะที่หลังเทศกาลสงกรานต์ หรือในช่วง 1–2 เดือนข้างหน้า ปริมาณการขนส่งสินค้าหรือวอลุ่มจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากทางการสหรัฐฯ ได้ผ่อนผันการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการเร่งส่งออกสินค้าเพื่อวางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของวอลุ่มการขนส่งได้อย่างชัดเจน             ขณะที่แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทจะพยายามจัดหาพื้นที่สำหรับการขนส่งสินค้าให้เพียงพอกับปริมาณวอลุ่มที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงหลังสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ แนวโน้มค่าระวางเรือ (Freight Rate) ว่าจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการขนส่งในระยะถัดไป             สำหรับทิศทางในไตรมาส 2/2568 บริษัทขอรอดูแนวโน้มการขนส่งในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนก่อน จึงจะสามารถประเมินภาพรวมได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม สำหรับเดือนเมษายนที่ผ่านมา ภาพรวมการขนส่งไม่ได้อยู่ในระดับที่แย่ แม้จะได้รับผลกระทบบ้างจากช่วงเทศกาลสงกรานต์และวันหยุดยาว             สำหรับแผนการเติบโตในปี 2568 คาดว่าธุรกิจโลจิสติกส์หรือขนส่งจะเติบโตได้ประมาณ 10% โดยไม่รวมกับธุรกิจ Non-Logistic ซึ่งเป็นการเติบโตแบบ Organic ในส่วนของธุรกิจ Non-Logistic บริษัทกำลังเดินหน้าเจรจาเพื่อหาทางเลือกในการเพิ่มโปรเจ็กต์ใหม่ๆ เพื่อเสริมศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ พร้อมกันนี้ SONIC ยังมีสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีกระแสเงินสดจำนวน 400 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อการขยายธุรกิจในอนาคต รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] กลุ่มแบงก์โชว์ฟอร์มดี ลุ้น SCB กำไร 1.1 หมื่นล.

[Vision Exclusive] กลุ่มแบงก์โชว์ฟอร์มดี ลุ้น SCB กำไร 1.1 หมื่นล.

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ทยอยประกาศงบไตรมาส 1/68 หลายแห่งกำไรออกมาดี หนุนจากต้นทุนสำรองฯ ลดลง แม้เผชิญแรงกดดันจากดอกเบี้ยขาลง-หนี้เสียขยับขึ้น ด้าน SCB, KBANK และ KKP เตรียมเผยผลประกอบการวันจันทร์นี้ ดังนั้นคาดการณ์กำไรสุทธิรวมของธนาคารในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 59,500 ล้านบาท ชู TTB-KTB-BBL เป็น Top picks จากกำไรเด่น-ปันผลสูง-ราคายังไม่แพง            ความเคลื่อนไหวของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ทยอยประประกาศงบไตรมาส 1/2568 กันมาต่อเนื่อง อาทิ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO), ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL), ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMBT), ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ได้ประกาศผลการดำเนินงานออกมาแล้ว            และยังมีธนาคารพาณิชย์ที่จะทยอยประกาศผลประกอบการมาอีก ในจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568 คาดว่าจะมี 3 ธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK), บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCB) และ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP) ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 ต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา            นายธนเดช รังษีธนานนท์ Director of Research บล.พาย กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ที่ได้มีการรายงานงบออกมาแล้ว โดยรวมยังอยู่ในทิศทางที่ดี อย่าง BBL ออกมาดีกว่าคาด, TISCO ใกล้เคียงคาด ขณะที่ TTB ต่ำกว่าคาด แต่สิ่งที่พบคือ Margin ของธนาคารดูอ่อนแอ จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อให้สอดรับกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ประกอบกับการลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้เปราะบางที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และการปรับโครงสร้างหนี้ในอดีต รวมถึงภาพหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ปรับตัวขึ้นทุกธนาคาร            ส่วน 3 ธนาคารพาณิชย์ที่เหลือ ที่จะรายงานงบในวันจันทร์นี้ ก็คาดว่าจะออกมาดี โดย SCB คาดว่าจะมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 11,974 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ 2.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ), KBANK คาดอยู่ที่ 12,860 ล้านบาท ลดลง -4.6% YoY และ เพิ่มขึ้น 27.9% QoQ ด้าน KKP คาดไว้ที่ 1,233 ล้านบาท ลดลง -18.1% YoY และลดลง -12.3% QoQ            ทั้งนี้คาดการณ์กำไรสุทธิรวมของธนาคารในไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 59,500 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.1% YoY, 11.5% QoQ) หนุนจากสำรองหนี้ฯ ลดลงเป็นหลัก อย่างไรก็ดีการที่สหรัฐประกาศปรับขึ้นภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้ากว่า 180 ประเทศ รวมทั้งสินค้าไทยจะถูกปรับขึ้นถึง 36% อาจกดดันเศรษฐกิจไทยชะลอตัวมากกว่าคาด ซึ่งส่งผลต่อการอ่อนแอในหลายด้านในอนาคต เช่น การขยายสินเชื่อใหม่ลดลง NIM ลดลง และหนี้เสียสูงขึ้น แต่เชื่อว่าธนาคารมีระดับสำรองหนี้ฯ สูง และเงินกองทุนสูงสามารถรับมือความไม่แน่นอนได้            สำหรับทั้งปี 2568 บล.พาย เตรียมทบทวนเป้าหมายกำไรสุทธิรวมของกลุ่มธนาคารอีกครั้ง หลังทุกธนาคารรายงานงบออกมากันครบแล้ว จากคาดการณ์เดิม กำไรสุทธิรวมน่าจะเติบโต 3.4% มาที่ 232,000 ล้านบาท เนื่องด้วยอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐทำให้เศรษฐกิจมีความท้าทายสูงขึ้นอาจกดดันการเติบโตของธนาคารอ่อนแอกว่าคาดได้ และกดดันให้ราคาหุ้นธนาคารมีความเสี่ยงผันผวนสูงขึ้น นอกจากนี้ยังคาดว่าจะเห็นคณะกรรมการโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง ทำให้กดดันมาร์จิ้นของธนาคาร อีกทั้งภาพสินเชื่อ อาจไม่ได้โตตามคาด จากเดิมคาดว่าจะโตราว 1% และผลกระทบรายได้จากตลาดทุนที่ลดลง            บล.ดาโอ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ของ KBANK จะอยู่ที่ 13,028 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) จากค่าใช้จ่าย (OPEX) ลดลงตามฤดูกาล และการตั้งสำรองฯ ลดลง แต่ลดลง -3.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน (YoY) เนื่องจากมีฐานกำไรจากเงินลงทุนสูงในปีก่อน,            คาด SCB จะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,387 ล้านบาท ทรงตัว เมื่อทียบกับ QoQ จากรายได้ค่าธรรมเนียมลดลงตามฤดูกาล และเพิ่มขึ้น 0.9% YoY จากการตั้งสำรองฯ ลดลง ส่วน            KKP คาดมีกำไรสุทธิที่ 1,282 ล้านบาท ลดลง -11.6% QoQ จากรายได้ค่าธรรมเนียมลดลงตามฤดูกาล และลดลง -14.8% YoY จากตั้งสำรองฯ ยังคงเพิ่มขึ้น จากลูกหนี้เช่าซื้อที่ปล่อยมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19            ทั้งนี้ยังคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่าตลาด” โดยคาดกำไรสุทธิรวมไตรมาส 1/2568 ของกลุ่มธนาคารจะอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท (+1% YoY, +8% QoQ) โดยเพิ่มขึ้น YoY , QoQ จากสำรองฯ และ OPEX ที่ลดลงเป็นหลัก โดยธนาคารที่เติบโตได้ดี YoY, QoQ คือ BBL (+5% YoY, +6% QoQ), KTB (+4% YoY, +10% QoQ) และ TTB (+1% YoY, +5% QoQ) จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก            ขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ลดลง YoY, QoQ คือ KKP (-15% YoY, -12% QoQ), TISCO (-7% YoY, -5% QoQ) เพราะสำรองฯที่เพิ่มขึ้นตามการปล่อยสินเชื่อผลตอบแทนสูง อย่างจำนำทะเบียนที่เพิ่มขึ้น ด้านสินเชื่อไตรมาส 1/2568 ลดลงเล็กน้อย (-0.5% YoY, -0.3% QoQ) จากสินเชื่อภาครัฐ แต่สินเชื่อรายใหญ่ยังโตได้ดี ส่วน NPL จะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ส่วน NPL รวมทยอยเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 3.08% จากไตรมาส 4/2567 ที่ 3.05% แต่ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้            ยังคงประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารปี 2568-2569 อยู่ที่ 2.24 แสนล้านบาท และ 2.35 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น +4% YoY, +5% YoY ตามลำดับ จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก โดยคาดว่าจะมีการปรับตัวลดลง -9% YoY จากปี 2567 ที่ลดลง -7% YoY เพราะมีการตั้งเผื่อมาเยอะแล้ว ขณะที่ DAOL คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง ที่ 0.25% มาอยู่ที่ 1.75% ในปี 2568            กลุ่มธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้น +6%/+21%% ในช่วง 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET เพราะตลาดหุ้นมีความผันผวนทำให้มีการโยกเงินเข้ามาในหุ้นที่มีมีอัตราเงินปันผลสูง โดยอัตราเงินปันผลเฉลี่ยของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 7% สูงกว่าอัตราปันผลเฉลี่ยของตลาดหุ้นที่ 3% ขณะที่ valuation ยังน่าสนใจ เทรดที่ระดับเพียง 0.68x 2025E PBV (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย Top picks เลือก TTB, KTB และ BBL - TTB (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 2.22 บาท) เพราะมีโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยหนุนราคาหุ้น ประกอบกับมี Dividend yield สูงราว 7% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ PBV ที่ 0.80x ที่ระดับเพียง -0.50SD และราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือ 5 พันล้านบาทได้อย่างต่อเนื่อง - KTB (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 27.50 บาท) เพราะกำไรปี 2568 อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท โต +6% YoY ขณะที่ valuation ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.76x (-0.50SD) ด้านราคาหุ้นยังไม่สะท้อนกำไรรายไตรมาสที่ยืนเหนือ 1 หมื่นล้านบาท ต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดกัน ส่วน NPL จะดีกว่ากลุ่มเพราะเน้นปล่อยสินเชื่อภาครัฐ - BBL (แนะนำซื้อ/ให้ราคาเป้า 186.00 บาท) เพราะมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดที่ 334% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุด ในกลุ่มเพียง 0.51x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision

เช็กด่วน! สัปดาห์นี้เจรจาภาษี US ชี้ชะตาหุ้นไทย มี 6 หุ้นได้ประโยชน์

เช็กด่วน! สัปดาห์นี้เจรจาภาษี US ชี้ชะตาหุ้นไทย มี 6 หุ้นได้ประโยชน์

           หุ้นวิชั่น - จับตาวันที่ 23 เม.ย. “ไทยเจรจาภาษีสหรัฐ” ลุ้นระทึกผลจะออกมาหมู่หรือจ่า ชี้ชะตาหุ้นไทยสัปดาห์นี้ เปิด 6 หุ้นที่ได้ประโยชน์หรือมี Upside จากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ รวมถึง 8 หุ้นแกร่งเก็งรับอานิสงส์ดอกเบี้ยขาลง            ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน- บล.กรุงศรี ระบุว่า สัปดาห์นี้ (21-25 เม.ย.68) ปัจจัยต่างประเทศ ติดตามความคืบหน้าการเจรจาภาษีการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะการเปิดช่องเล็ก ๆ ในการเจรจากับคู่กรณีหลักอย่าง จีน ว่าจะมีความคืบหน้าเพิ่มเติมหรือไม่ นอกจากนี้ ยังควรติดตามการเจรจากับประเทศคู่ค้ารายใหญ่ เช่น สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นหลัก ทั้งนี้ ประเทศไทยมีกำหนดเข้าสู่กระบวนการเจรจากับเจ้าหน้าที่การค้าสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย.            ปัจจัยภายในประเทศ ติดตามการรายงานผลประกอบการงวด 1Q25 ของกลุ่มธนาคารที่เหลือ อาทิ SCB, KBANK, KKP โดยเราประเมินภาพรวมในเชิงกลาง ๆ โดยคาดว่าผลประกอบการจะไม่โดดเด่นมากนัก และน่าจะอยู่ในกรอบที่ตลาดประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว กลยุทธ์การลงทุน:            ประเมินแนวโน้มตลาดสัปดาห์หน้าเป็นลักษณะ “Sideways/Up” โดยแรงหนุนหลักมาจากพัฒนาการการเจรจาต่อรองมาตรการ Trade Tariffs ระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ซึ่งล่าสุด สหรัฐฯ เริ่มเปิดช่องเจรจากับจีน ขณะที่ไทยมีกำหนดการเจรจาในวันที่ 23 เม.ย. นอกจากนี้ยังต้องจับตามาตรการประคองเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ            ในสัปดาห์นี้ ให้ติดตามนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนด้วย โดยประเมินว่าหุ้นที่น่าสนใจจะอยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่อาจปรับตัวลดลง เช่น • กลุ่มเช่าซื้อ: MTC, JMT • กลุ่มโรงไฟฟ้า: GULF, GPSC • กลุ่มที่มีหนี้สูง: BJC, MINT, TRUE • กลุ่ม High Yield: ADVANC            ผสมผสานกับ 6 หุ้น ที่ได้ประโยชน์หรือมี Upside จากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศต่าง ๆ เช่น • CPF, PTTGC, PTTEP • กลุ่ม China Plays: IVL, SCGP, SCC หุ้นเด่นประจำสัปดาห์: SCC, PTTGC, BJC กำหนดการรายงานเศรษฐกิจหลักแต่ละประเทศ: สหรัฐฯ • 23 เม.ย. o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคการผลิต: คาด 50.0 จุด (เทียบกับครั้งก่อน 50.2 จุด) o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคบริการ: คาด 52.0 จุด (เทียบกับครั้งก่อน 54.4 จุด) o ยอดขายบ้านใหม่ มี.ค.: คาด 683,000 หลัง (เทียบกับครั้งก่อน 676,000 หลัง) • 24 เม.ย. o ยอดขายบ้านมือสอง มี.ค.: คาด 4.13 ล้านหลัง (เทียบกับครั้งก่อน 4.26 ล้านหลัง) o คำสั่งซื้อสินค้าคงทน มี.ค.: คาด +1.5% m-m (เทียบกับครั้งก่อน +1.0% m-m) • 25 เม.ย. o ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ม.มิชิแกน เม.ย. (ครั้งแรก): ไม่มีการคาดการณ์ (เดือนก่อน 50.8 จุด) • 21–25 เม.ย. o ติดตามความคืบหน้านโยบายภาษีการค้า และการเจรจากับประเทศคู่ค้า ไทย • 22 เม.ย. o ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เม.ย. 25: คาด -15.0 (เทียบกับเดือนก่อน -14.5) • 23 เม.ย. o Flash PMI เม.ย. 25 ภาคการผลิต: คาด 47.1 จุด (เทียบกับเดือนก่อน 48.6 จุด) o Flash PMI ภาคบริการ: คาด 50.5 จุด (เทียบกับเดือนก่อน 51.0 จุด) o การเจรจา Trade Tariffs ไทย-สหรัฐฯ • 21 เม.ย. o ติดตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) อายุ 1 ปี และ 5 ปี: คาดคงที่ที่ 3.1% และ 3.6% ตามลำดับ • 21–25 เม.ย. o รายงานผลประกอบการ 1Q25 กลุ่มธนาคารที่เหลือ: SCB, KBANK, KTB, KKP • 21–26 เม.ย. o รายงานยอดส่งออก-นำเข้า มี.ค. 25: คาด +10.7% y-y และ +3.6% y-y (เทียบกับเดือนก่อน +14% และ +4.0%)

กลยุทธ์เทรด TISCO รอปันผล หรือ ขายก่อน?

กลยุทธ์เทรด TISCO รอปันผล หรือ ขายก่อน?

          บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง TISCO ว่า กำไรใกล้เคียงคาด…รายได้ลดลง พร้อมกับสำรองที่สูงขึ้น TISCO รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 1,643 ล้านบาท ลดลง 5.2% YoY และ 3.4% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด ► ปัจจัยกดดันหลักๆ มาจาก           รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 2.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 4.8% จาก 4.9% ใน 4Q24 เนื่องจากบริษัทปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำลง อีกทั้งมีผลจากการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ขณะที่สินเชื่อรวมลดลง 0.4% QoQ ตามนโยบายเพิ่มความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อ           รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ลดลง 3.3% QoQ จากฐานสูงใน 4Q24 ที่มีการบันทึก Performance Fee ของธุรกิจบริหารจัดการกองทุนรวมเข้ามา และรายได้ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่ลดลงตามขนาดของสินเชื่อรวม แต่บางส่วนถูกชดเชยด้วยกำไรจากเงินลงทุนและรายได้เงินปันผลรับที่สูงขึ้น           การตั้งสำรองสูงขึ้น 14.4% QoQ คิดเป็น Credit Cost ที่ 0.7% เพิ่มขึ้นจาก 0.6% ใน 4Q24 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มตามนโยบายของบริษัทที่ต้องการเพิ่ม Coverage Ratio เพื่อรองรับความเสี่ยงของพอร์ตที่สูงขึ้น ตามการรุกขยายธุรกิจ High Yield อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยลูกหนี้ Stage 2 และ Stage 3 (NPL) ทรงตัวที่ 7.9% และ 2.4% ใกล้เคียงกับ 4Q24 Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 23.7% ของประมาณการทั้งปี เบื้องต้นยังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 จะลดลงต่อทั้ง YoY และ QoQ จากผลของ NIM ที่ต่ำลง แต่คาดว่าจะไม่ลดลงมากเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ เพราะมีสัดส่วนสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยคงที่สูงราว 61.5% ► ปัจจัยกดดันหลักจะยังเป็นแนวโน้ม Credit Cost ที่ทยอยปรับขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อกลุ่ม High Yield ยังไม่สามารถเพิ่มขึ้นจนชดเชยปัจจัยกดดันต่างๆ ได้ ทำให้เราคาดว่า TISCO จะมีกำไรสุทธิปี 2025 จำนวน 6,934 ล้านบาท ทรงตัว YoY แต่มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง หากการเติบโตของสินเชื่อในกลุ่ม High Yield ยังไม่เร่งตัวขึ้นใน 2Q25 ► มีมุมมองเป็นกลางต่อผลดำเนินงานของ TISCO เพราะถือว่าไม่มีประเด็นที่ต่างไปจากความคาดหวังของตลาด แต่ด้วยแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 ที่คาดว่าจะลดลงต่อทั้ง YoY และ QoQ ทำให้ไม่เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อสะสมในช่วงสั้น จึงคงคำแนะนำเชิงพื้นฐานเพียง “TRADING” ► ทั้งนี้ TISCO จะ XD วันที่ 28 เม.ย. (ปันผลหุ้นละ 5.75 บาท) ในเชิงกลยุทธ์จึงอาจพิจารณาขายทำกำไรก่อน แล้วรอสะสมใหม่หากราคาปรับลงหลัง XD เพราะมองว่าระยะกลาง-ยาว TISCO ยังมีความน่าสนใจจากการเป็นหุ้นปันผลสูง โดยคาด Dividend Yield ปี 2025 ของ TISCO ที่ 7.4%           บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ถือ” TISCO และราคาเป้าหมายที่ 96.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 1.75x (+0.50SD above 10-yr average PBV) โดยมองเป็นกลางทั้งจากกำไร 1Q25 ที่ตามคาด และการประชุมนักวิเคราะห์ที่เป้าหมายโดยรวมยังใกล้เคียงคาด โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.64 พันล้านบาท (-5% YoY, -3% QoQ) จากสำรองฯ ที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งชดเชยกับ NIM ที่น้อยกว่าคาดจากโครงการคุณสู้เราช่วยกดดัน Loan yield           ด้าน NPL อยู่ที่ 2.42% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 2.35% ส่วนใหญ่มาจากจำนำทะเบียนรถ ทั้งนี้ผู้บริหารคาดแนวโน้มการตั้งสำรองฯ มีโอกาสลดลงน้อยกว่าเป้าที่ระดับ 100bps (เราคาด 100bps, 1Q25 ที่ 69bps) เพราะจะปล่อยสินเชื่อผลตอบแทนสูงลดลง และมีโครงการคุณสู้เราช่วยมาหนุนรายได้ดอกเบี้ยมีความเสี่ยงจะน้อยกว่าคาดเพราะโครงการคุณสู้เราช่วยจะกดดัน Loan yield คาดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลงอีก 2 ครั้ง ซึ่งจะช่วยให้ Cost of Fund จะลดลงได้ภายใน 3-6 เดือน และจะใช้เวลาราว 1 ปีในการ Repricing จบ           กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 24% ของประมาณการทั้งปี ทำให้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท ลดลง -1% YoY จากสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25E มีโอกาสที่จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ จากสำรองฯ ที่จะเพิ่มขึ้นตามสินเชื่อผลตอบแทนสูงที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น +4% และ +16% ช่วง 1 และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET เพราะตลาดหุ้นที่ผันผวนทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นปันผลมากขึ้น โดยจะ XD วันที่ 25 เม.ย. 25 ที่ 5.75 บาท ขณะที่ TISCO ยังยืนยันที่จะจ่ายปันผลในระดับสูงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าแนวโน้มกำไรจะลดลง           ทั้งนี้ คาดว่า TISCO จะยังคงเป็นหุ้นที่มี Dividend yield สูงถึงระดับราว 8% (จ่ายเงินปันผลปีละ 2 ครั้ง โดยจะ XD ช่วงเดือน ก.ย. และ เม.ย.)

BAFS ผู้ให้บริการน้ำมันอากาศยานรายใหญ่สุดของประเทศ [HoonVision x FynnCorp]

BAFS ผู้ให้บริการน้ำมันอากาศยานรายใหญ่สุดของประเทศ [HoonVision x FynnCorp]

          BAFS หรือชื่อเต็ม บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งในปี 2526 ตามจุดประสงค์ของคณะรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น ที่จะเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ต่อมาในปี 2545 บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย           ผู้ถือหุ้นหลักของ BAFS เป็นบริษัทชั้นนำที่ก่อตั้งมายาวนาน อย่าง บมจ. ราช กรุ๊ป, บมจ. การบินกรุงเทพฯ, บมจ. ท่าอากาศยานไทย และบริษัทน้ำมันต่างๆ           BAFS ประกอบธุรกิจหลักให้บริการจัดเก็บและเติมน้ำมันอากาศยานในท่าอากาศยาน 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง สุโขทัย ตราด และกำลังก่อสร้างระบบจัดเก็บ ให้บริการเพิ่มเติมที่ท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภา           นอกจากธุรกิจหลัก บริษัทได้ลงทุนและขยายกิจการไปยังธุรกิจกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ผ่านบริษัทลูกภายใต้กลุ่มบริษัท (BAFS Group) ใน 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการบิน (BAFS, TARCO, GAA, BI) ธุรกิจสาธารณูปโภคและพลังงาน (BPT, BC) และกลุ่มบริการธุรกิจ (BPS, BID)           จุดเด่นของ BAFS Group คือ การมุ่งดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยยึดมั่นในหลัก ESG (Environmental, Social, Governance) เช่น เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ซึ่งในระหว่างนี้ ตั้งแต่ปี 2563 บริษัทได้รับการรับรองเป็น Carbon Neutral Company จากการชดเชยปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดจากการดำเนินงานให้เป็นศูนย์ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เป็นต้น           โครงสร้างรายได้ มาจากการให้บริการระบบจัดเก็บน้ำมันอากาศยาน ระบบเติมน้ำมันอากาศยาน ระบบส่งน้ำมันอากาศยาน ระบบส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากท่อ ซึ่งรวมอยู่ในกลุ่มรายได้จากค่าบริการ ที่เป็นรายได้หลัก คิดเป็น 88.97% ของรายได้รวมปี 2567 ที่เหลือจะเป็นรายได้จากการขายพลังงานไฟฟ้า และอื่นๆ ตามลำดับ           โดยผลการดำเนินงานในปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก ด้วยรายได้รวม 3,507 ล้านบาท (+14% YoY) และกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้น อยู่ที่ 102.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นปีแรกตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด จากปัจจัยสนับสนุนของภาคการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวอย่างชัดเจนในปีที่ผ่านมา ด้วยนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยกว่า 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจ Aviation ฟื้นตัวตาม และทำให้ความต้องการปริมาณน้ำมันอากาศยานเพิ่มขึ้น 17% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 5,047 ล้านลิตร           อีกทั้ง ทิศทางการดำเนินงานในปี 2568 นี้ BAFS Group คาดธุรกิจการบินยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และตั้งเป้าปริมาณการเติมน้ำมันอากาศยานที่ 5,400 ล้านลิตร หรือ เพิ่มขึ้น 8% จากปี 2567 ด้วยแรงหนุนจากจำนวนเที่ยวบิน รวมถึงการเปิดใช้งานรันเวย์ที่ 3 ของสนามบินสุวรรณภูมิ           กระแสเงินสดยังแข็งแกร่ง โดยกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงานในปี 2567 เป็นบวกที่ 1,406.7 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดทั้งปีที่ผ่านมาบริษัทมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นสุทธิที่ 32.8 ล้านบาท และเงินสด รวมถึงรายการเทียบเท่าเงินสดมาอยู่ที่ 555.4 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 ขณะที่ บริษัทมีหนี้สินที่ต้องชำระคืนภายในปี 2568 อยู่ประมาณ 2,498 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถึงกำหนดชำระกว่า 1,183 ล้านบาท จึงเป็นส่วนที่ทำให้บริษัทจึงระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้เพิ่มเติม หุ้นกู้เสนอขายใหม่ ครั้งที่ 1/ 2568 ของบริษัท           BAFS ออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน อายุ [3 ปี 9 เดือน] อัตราดอกเบี้ย [4.75-5.10%] ต่อปี           จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน (ไม่รวมถึงผู้ลงทุนสถาบันที่เป็นบุคคลธรรมดา) และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่           ข้อกำหนดอัตราส่วนทางการเงิน บริษัทในฐานะผู้ออกหุ้นกู้จะต้องดำรงอัตราส่วนของหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity Ratio) ไม่เกิน 2.5 เท่า ณ วันสิ้นปีบัญชีของผู้ออกตามงบการเงินรวมในแต่ละปี ซึ่ง BAFS ดำรงอัตราวนนี้อยู่ที่ 1.61 เท่า ณ สิ้นปี 2567           ช่วงเวลาจองซื้อ ในระหว่างวันที่ [9 และ 13-14 พฤษภาคม 2568] รวมทั้งวันเสาร์ที่ 10 วันอาทิตย์ที่ 11 และวันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 เฉพาะการจองซื้อผ่านระบบออนไลน์ของผู้จัดการการจัดจาหน่ายบางราย           ผู้จัดการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด           ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ คือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)           บริษัทได้รับจัดอันดับความน่าเชื่อถือโดย บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2568  องค์กรจัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB (tha)  หุ้นกู้จัดอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB (tha)   แนวโน้ม stable วัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ ได้แก่ นำไปใช้เป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างกลุ่มธุรกิจ Power & Utility และกลุ่มธุรกิจ Aviation ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เงินทุนหมุนเวียนระยะสั้นในการประกอบกิจการ Source: ThaiBMA ปัจจัยเสี่ยง ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ จากการที่บริษัทให้บริการระบบจัดเก็บและเติมน้ำมันอากาศยาน ทำให้หากมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก อย่าง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เหตุการณ์ความวุ่นวาย โรคระบาด ภัยธรรมชาติ รวมไปถึงโครงการรถไฟความเร็วสูง ก็อาจส่งผลให้ปริมาณการเติมน้ำมันอากาศลดลง ความเสี่ยงจากภาระหนี้สูง ที่มาจากการกู้ยืมเพื่อใช้ในการดำเนินงานและรักษาสภาพคล่องของบริษัทในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID จนส่งผลทำให้มีหนี้สินสะสม สะท้อนจาก อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (IBD to EBITDA) ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 7.61 เท่า และความสามารถในการชำระผูกพัน (DSCR) อยู่ที่ 0.84 เท่า อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนทั้งสองนี้ มีทิศทางการปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อนๆ อย่าง IBD to EBITDA ลดลงจากปี 2566 ที่อยู่ที่ 9.54 เท่า และ DSCR เพิ่มขึ้นจาก 0.73 เท่า ในปี 2566 ความเสี่ยงในการดำรงอัตราส่วนทางการเงิน เนื่องจากบริษัทเคยไม่สามารถดำรงอัตราส่วนตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมได้ในปี 2564 - 2565 ทำให้ต้องเจรจาขอผ่อนผันการผิดเงื่อนไขดังกล่าวจนสำเร็จ แต่หากในอนาคตถ้ายังเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ และไม่ได้รับการผ่อนผัน อาจส่งผลให้หุ้นกู้คงค้างและเงินกู้ยืมที่มีข้อกำหนดเรื่อง Cross-default ถึงกำหนดชำระโดยพลัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัททันที

3 โบรกส่องอนาคต BBL

3 โบรกส่องอนาคต BBL "เงินปันผล" VS "หนี้ NPL" ใครชนะ

          บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย BBL ประกาศกำไรสุทธิ 1Q25 อยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% YoY และ +21% QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาด +11%และคาด +14% เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุนถึง 2.9 พันล้านบาท (คาด 500 ล้านบาท) แต่มีการตั้งสำรองฯที่สูงกว่าคาดมาอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท (คาด 7.9 พันล้านบาท)           ► ด้าน NIM ต่ำกว่าคาดมาอยู่ที่ 2.91% (คาด 3.10%) จากไตรมาสก่อนที่ 3.12% เพราะมี Loan yield ลดลงจากการชำระคืนของ Working capital ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.00% จากไตรมาสก่อนที่ 2.70% ส่วนใหญ่เกิดจาก Relapse NPL ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตและกลุ่มการค้า           ► ทั้งนี้จากความกังวลเรื่องนโยบายใหม่ของรัฐบาลอินโดฯ ทาง BBL ไม่ได้กังวลต่อธนาคาร Permata มากนักเพราะมี Coverage ratio ในระดับสูงราว 350% ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกมาก กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุน แต่เป็นรายการที่คาดการณ์ได้ยาก ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +3% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก           ► ขณะที่คาดว่า กำไรสุทธิ 2Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ เพราะฐานกำไรจากเงินลงทุนที่สูง           ► ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +3% และ +12% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากกำไรที่ดีกว่าคาด และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผล โดยจะ XD วันที่ 23 เม.ย. 25 ที่ 6.50 บาท ประกอบกับ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 300% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x           บล.เอเซีย พลัส ประเมินหุ้น BBL โดยกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท (+21% QoQ เพราะ Non-NII เพิ่ม และ OPEXลดตามฤดูกาล, +20% YoY จาก Non-NII) ดีกว่าฝ่ายวิจัยและ BB Consensus คาดราว 11% จาก Non-NII ในส่วนของกำไรจากเงินลงทุนผ่านการขายตราสารหนี้ ► NIM ที่ 2.8% อ่อนตัวจาก 3.0% งวด 1Q67 และ 4Q67 ตามการลดดอกเบี้ยนโยบาย ► NPL / Loan ที่ 3.6% เพิ่มจาก 3.2% ณ สิ้นงวดก่อน จากกลุ่มที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ Coverage ratio ลงมาที่ 300% เทียบกับ 334% ณ สิ้นงวดก่อน ► ฝ่ายวิจัยมองกลางต่องบ 1Q68 แม้กำไรดีกว่าคาด แต่ NPL ปรับขึ้น โดยการปรับขึ้น ของระดับ NPL ยังไม่ได้ยากเกินบริหารจัดการ (3Q67 เคยสูงถึง 3.9%) และเป็นไปในรูปแบบเดียวกับปีก่อน (ขึ้น 1Q-3Q และกลับมาลง 4Q) ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ทาง BBL ไม่ได้มีการกลับสำรอง ทำให้ความจำเป็นในการตั้ง ECL ไม่ได้ เพิ่มมากนัก แม้ NPL จะปรับขึ้นก็ตาม ► คงประมาณการ หลังกำไรสุทธิ 1Q68 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของประมาณการฝ่ายวิจัย(1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของกำไรสุทธิปี 2567) และ BB Consensus น่าจะพอรองรับแนวโน้ม NII ระยะถัดไป ซึ่งมีแรงกดดันจากโอกาสในการลดดอกเบี้ยของ กนง. ► การปรับขึ้นของ NPL อาจส่งผลลบต่อราคาหุ้น แต่ในเชิง PBV ไม่แพงที่ 0.48 เท่า และคาด Div Yield ราว 5.8% ต่อปี ในมุม Valuation น่าสนใจ ประกอบกับมองว่าเงินปันผล ต่อหุ้นประคองตัวได้ แม้กำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงก็ตาม คงแนะนำ Outperform เคาะราคาเป้าหมาย 180.00 บาท บล. หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า BBL รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 12,618 ลบ. โตเด่น 19.9% YoY และ 21.3% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 12.6% และ 11% ตามลำดับ ► ปัจจัยที่ทำให้กำไรสุทธิดีกว่าคาดมาจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่โต 27.4% QoQ (ดีกว่าที่เราคาด 42.4%) หลังมีกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทได้ขายทำกำไรจำนวนกว่า 2,897 ลบ. เพิ่มขึ้นมากจากเพียง 133 ลบ. ใน 4Q24 บวกกับรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิโต 8.3% QoQ โดยเฉพาะธุรกิจนายหน้าประกันที่ขยายตัวได้ดี จากอานิสงส์ของการเร่งซื้อประกันก่อนเริ่มบังคับใช้เงื่อนไข Co-payment ► Cost to Income Ratio ลดลงเหลือ 45.5% จาก 53.0% ใน 4Q24 เพราะมีการโอนกลับค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่ได้มีการเบิกใช้จริง ► ทั้งนี้ผลบวกดังกล่าวบางส่วนถูกหักล้างด้วยรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 6.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 2.8% จาก 3.1% ใน 4Q24 สอดรับกับดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารที่ลดลงตามดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังปรับลงได้ไม่ทันกับรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง ► NPL ปรับขึ้นเป็น 3.6% จาก 3.2% ใน 4Q24 ทำให้การตั้งสำรองสูงขึ้น 18.8% QoQ แต่ส่วนใหญ่เป็น Relapsed NPL ที่เกิดจากลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้มีการชำระเงินล่าช้าในบางช่วง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ BBL ตั้งสำรองไว้มากแล้วและไม่ได้โอนกลับสำรองออกมาเวลาที่ลูกหนี้ดังกล่าวกลับมาชำระเงิน ทำให้การตั้งสำรองใน 1Q25 ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับ NPL ที่สูงขึ้น Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27.4% ของประมาณการทั้งปี โดยเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q25 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากกำไรจากเงินลงทุนที่ต่ำลงจากฐานสูงใน 1Q25 รวมถึง NIM ที่คาดจะลดลงต่อ จากการรับรู้ผลกระทบของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเต็มไตรมาส บวกกับรับรู้ต้นทุนดอกเบี้ยจาก Subordinated Note (ตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2) จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์ฯ ส่วนทั้งปี 2025 เราคาด BBL จะมีกำไรสุทธิ 45,987 ลบ. โต 1.7% YoY ► มองแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q25 จะชะลอตัวลง แต่ BBL ถือเป็นธนาคารที่ยัง Laggard จากกลุ่ม ซื้อขายด้วย PBV ปี 2025 ต่ำเพียง 0.5x ขณะที่ธนาคารใหญ่รายอื่นซื้อขายด้วย PBV ที่ 0.6-0.8x อีกทั้งปัจจุบันราคาหุ้นมี Upside ราว 29.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2025 เดิมที่ 190 บาท และคาดจะให้ Div. Yield อีก 5.8% ส่วนช่วงสั้นคาดตลาดจะตอบรับเชิงบวกจากกำไรสุทธิที่ดีกว่าที่ตลาดคาด จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

THCOM ตั้ง”สารัชถ์ รัตนาวะดี” นั่งประธานคณะกรรมการมีผล 1 พ.ค. นี้

THCOM ตั้ง”สารัชถ์ รัตนาวะดี” นั่งประธานคณะกรรมการมีผล 1 พ.ค. นี้

          หุ้นวิชั่น - บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) หรือ THCOM เผยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 มีมติรับทราบการลาออกของ นายสมประสงค์ บุญยะชัย จากตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการ และ กรรมการอิสระ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นไป เนื่องจากติดภารกิจอื่น           พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการได้มีมติแต่งตั้ง นายสารัชถ์ รัตนาวะดี เข้าดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการ คนใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 แทนตำแหน่งที่ว่างลง           ทั้งนี้ นายสารัชถ์จะพ้นจากตำแหน่งเดิมในฐานะ รองประธานคณะกรรมการ ซึ่งเริ่มต้นดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 โดยสิ้นสุดวาระในวันเดียวกันกับการเริ่มต้นตำแหน่งใหม่

KTC กำไร Q1 ดีด 3.2% เป้าปี 68 พอร์ตโต 5%

KTC กำไร Q1 ดีด 3.2% เป้าปี 68 พอร์ตโต 5%

           หุ้นวิชั่น - KTC รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 1,861 ล้านบาทพอร์ตเพิ่มเล็กน้อย 3.2% และยังคงคุณภาพสินทรัพย์ที่น่าพอใจ ภายใต้ความเสี่ยงที่เหมาะสมขณะที่ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรขยายตัวได้ดีกว่าอุตสาหกรรม พร้อมคาดปี 2568 พอร์ตลูกหนี้รวมโต 4-5% พร้อมคุมNPL ไม่เกิน 2%            บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (“กลุ่มบริษัท”) หรือ KTC มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 เท่ากับ 1,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.2% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีจำนวน 1,803 ล้านบาท ขณะที่งบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (“เคทีซี” หรือ “บริษัท”) มีกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 เท่ากับ 1,877 ล้านบาท ลดลง 0.9% (YoY) เนื่องจากในปี 2567 บริษัทมีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทร่วม 82 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว เคทีซีจะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 2.7%            ในไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 6,832 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% (YoY) มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ รายได้ค่าธรรมเนียมด้านร้านค้า รายได้จากการเบิกถอนเงินสดล่วงหน้า และรายได้ค่าธรรมเนียม Interchange ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยและหนี้สูญได้รับคืนลดลงเล็กน้อย ค่าใช้จ่ายรวม 4,433 ล้านบาท ลดลง 1.6% (YoY) จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง สำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมสูงขึ้นหลัก ๆ จากค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกรรม และค่าใช้จ่ายด้านการตลาด ทั้งนี้ มีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้รวมอยู่ที่ 35.1%            ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 กลุ่มบริษัทมีพอร์ตสินเชื่อรวม 107,093 ล้านบาท ขยายตัวที่ 1.7% (YoY) แบ่งเป็น พอร์ตบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 1.5% (YoY) โดยมีอัตราการขยายตัวของปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรที่ 6.7% (YoY) และพอร์ตสินเชื่อบุคคลรวมเติบโตที่ 5.2% (YoY)            เคทีซียังสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี มี NPL Coverage Ratio ของงบการเงินเฉพาะกิจการอยู่ในระดับสูงที่ 449.5% ขณะที่อัตราส่วน NPL (%NPL) อยู่ที่ 1.58% ลดจาก ณ สิ้นปี ที่ 1.64% สำหรับกลุ่มบริษัทมี NPL Coverage Ratio อยู่ในระดับสูงเช่นกันที่ 384.5% และ %NPL ของกลุ่มบริษัท 1.97% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากสิ้นปี ซึ่งอยู่ที่ 1.95% สำหรับไตรมาส 1 ปี 2568 Credit Cost ของกลุ่มบริษัทลดลงเป็น 6.0% จาก 6.4% ในช่วงเดียวกันของปี 2567            นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทยังมีอัตราส่วนทางการเงินที่แข็งแกร่ง อาทิ อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นเป็น 27.2% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับสูงที่ 18.3% และอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 1.58 เท่า และด้วยความสามารถในการรักษาเสถียรภาพในทุกช่วงวงจรธุรกิจ สะท้อนได้จากความสามารถในการสร้างผลกำไร มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี และการรักษาตำแหน่งทางการตลาด บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันเป็น “AA” จาก “AA-” ในวันที่ 9 เมษายน 2568            ทั้งนี้ เคทีซียังคงให้ความสำคัญในการขยายพอร์ตสินเชื่อรวมไปพร้อม ๆ กับการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ เพื่อให้กลุ่มบริษัทบรรลุเป้าหมายตามแผนธุรกิจที่ตั้งไว้ ภายใต้กรอบการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม

TTB ปันผลยิลด์ 7% รับประโยชน์ภาษีค้ำ

TTB ปันผลยิลด์ 7% รับประโยชน์ภาษีค้ำ

           หุ้นวิชั่น - ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 5,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อนหน้า หนุนโดยต้นทุนดำเนินงานและค่าใช้จ่ายสำรองที่ลดลง ด้านโบรก งบไตรมาส1/2568 ออกมาตามคาด คงคำแนะนำ “ซื้อ” เป้าหมาย 2.2 บาทต่อหุ้น รับอานิสงส์ผลประโยชน์ทางภาษีกว่า 9.4 พันล้านบาท และ Dividend Yield สูงถึง 7% เตรียมขึ้น XD วันที่ 25 เม.ย. นี้            ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ทีทีบีมีกำไรสุทธิจำนวน 5,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อนหน้า หรือคิดเป็น ROE ที่ร้อยละ 8.6 โดยกลยุทธ์หลักของ ธนาคารที่หนุนผลการดำเนินการด้านการเงิน ได้แก่ การรักษาคุณภาพของพอร์ตสินทรัพย์ โดยยังคงมุ่งเน้นการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ซึ่งรวมถึงการให้ความช่วยเหลือ ลูกค้าเพื่อสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดีผ่านโครงการคุณสู้เราช่วยและโครงการรวบหนี้ การดำเนินการตามแผนการปรับปรุงองค์กร (Transformation) เพื่อเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้รูปแบบใหม่ ปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนการดำเนินงาน และ เปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่การเป็น Humanized Digital Banking การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ผ่านการบริหารจัดการพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินการตามแผนบริหารส่วนทุน            ภายใต้ภาวะที่ยังคงมีความท้าทายในการเติบโตสินเชื่อ ธนาคารจะยังคงมุ่งเน้นการดำเนินการตามแผนบริหารจัดการส่วนทุน ทั้งนี้ ด้วยฐานะเงินกองทุนที่มีความแข็งแกร่งและ สภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง ธนาคารยังคงยึดเป้าหมายในการส่งมอบผลตอบแทนกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการมุ่งสู่เป้าหมาย ROE ระยะกลางที่ร้อยละ 10 จุดเด่นผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2568            เน้นย้ำการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ : เพื่อรักษาคุณภาพสินทรัพย์ธนาคารยังคงเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังไปยัง กลุ่มเป้าหมายอย่างสินเชื่อรายย่อย ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้การหมุนเวียนสภาพคล่องจากการสินเชื่อที่ให้อัตราผลตอบแทนต่ำไปใช้เติบโตสินเชื่อรายย่อยกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเมื่อ เทียบกับความเสี่ยงที่ดีกว่า ส่งผลให้สินเชื่อกลุ่มดังกล่าวยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 YTD สินเชื่อเล่มแลกเงิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 YTD ด้านสินเชื่อ เพื่อการอุปโภคบริโภค (Consumer Loan) ชะลอลงเมื่อเทียบกับ high season ในไตรมาส 4 ขณะที่สินเชื่อรถแลกเงินชะลอลงตามการลดลงของยอดปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ            บริหารจัดการปริมาณเงินฝากและสินเชื่อให้สอดคล้องกัน เพื่อบริหารต้นทุนทางการเงินและรักษาอัตรากำไร : เพื่อรับมือกับทิศทางดอกเบี้ยขาลง ธนาคารบริหารจัดการ ปริมาณเงินฝากและสินเชื่อให้สอดคล้องกัน ควบคู่กับการปรับ duration ของเงินฝาก โดยลดสัดส่วนเงินฝากประจำระยะยาวและเพิ่มสัดส่วนเงินฝากประจำที่ระยะสั้นลง เพื่อให้ โครงสร้างเงินฝากมีความยืดหยุ่น ทั้งนี้ เงินฝากประจำลดลงร้อยละ 2 YTD ตามการลดลงของเงินฝากประจำระยะยาว ด้านเงินฝาก No-Fixed ลดลงร้อยละ 3 และ ME ลดลง ร้อยละ 2 ในส่วนของเงินฝากต้นทุนต่ำ กลุ่มเงินฝาก CASA ลดลงร้อยละ 2 YTD จากการลดลงของเงินฝากกระแสรายวันลูกค้าธุรกิจ ขณะที่เงินฝากออมทรัพย์ค่อนข้างทรงตัว โดย all free ซึ่งเป็น flagship product ยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 4 YTD กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 QoQ หนุนโดยการควบคุมต้นทุนทางการเงินที่ดีการบริหารต้นทุนในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดต้นทุนด้านความเสี่ยง ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ในไตรมาส 1/2568 ยังคงระดับได้ที่ร้อยละ 19 เทียบกับกรอบเป้าหมายที่ร้อยละ 3.10-3.25 ทั้งนี้ การบริหารต้นทุนทางการเงิน และการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดผลกระทบของการลดลงของส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลงเร็วกว่าที่คาด ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ลดลงร้อยละ 7 QoQ ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้(C/I) ปรับตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 43 ในไตรมาส 1/2568 จากร้อยละ 44 ในไตรมาส 4/2567 สะท้อนให้เห็นผลของการปรับโมเดลธุรกิจสู่ Digital-first การมีวินัยด้านค่าใช่จ่าย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน            คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ควบคุม ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองฯ ลดลงร้อยละ 2 QoQ มาอยู่ที่ 4,580 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่า จะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ 152 bps โดยปัจจัยหลักมาจากอัตราการเกิดของหนี้เสียและผลขาดทุนจากรถยึดที่ลดลงและส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการช่วยลูกค้าผ่านโครงการ คุณสู้เราช่วย ในขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 75 จากยอดการตัดหนี้สูญที่ลดลงตามแผนการบริหารจัดการหนี้เสีย แต่ยังคงอยู่ ในกรอบเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ต่ำกว่าร้อยละ 2.9            ทั้งนี้ ธนาคารยังคงเข้มงวดในการบริหารจัดการความเสี่ยงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับกันชนป้องกันความเสี่ยงผ่านการ ตั้ง Management Overlay ส่งผลให้อัตราส่วนเงินสำรองฯ ต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 150            หลังหักค่าใช้จ่ายสำรองฯ และผลประโยชน์ทางภาษี ทีทีบีมีกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท ในไตรมาส 1/2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 QoQ แต่ลดลงร้อยละ 5.2 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ร้อยละ 8.6 ค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาส 4/2567            ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ธนาคารมีผลประโยชน์ทางภาษีคงเหลือเป็นจำนวน 9.4 พันล้านบาท ซึ่งสามารถรับรู้ได้ถึงปี 2571 ทั้งนี้ การใช้ผลประโยชน์ทางภาษีจะทยอยรับรู้ตาม การประมาณการรายได้ในอนาคต ไม่ได้ใช้วิธีรับรู้เท่ากันทุกปี (Straight-line basis)            ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ออกบทวิเตราะห์ ถึง ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) โดยกำไรสุทธิ ไตรมาส1/2568 ที่ 5.10 พันล้านบาท ลดลง -5% y-y เพิ่มขึ้น +2% q-qTTB รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 5.10 พันล้านบาท ใกล้เคียงกับฝ่ายวิจัยและตลาดคาด โดยกำไรลดลง -5% y-y เพราะรายได้ดอกเบี้ย (NII) ลดลง -8% y-y จากสินเชื่อหดตัว -2.4% q-q ซึ่งคิดเป็น -2.4% YTD จากการลดลงของสินเชื่อรายใหญ่ SME และรายย่อย นอกจากนี้ NIM ที่ 3.13% ลดลงจาก ไตรมาส1/2568 ที่ 3.24% จากการลดลงของ yield on loan            ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น +2% q-q จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ลดลง -7% q-q จากปัจจัยฤดูกาล และค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง -2% q-q จากอัตราการเกิดหนี้เสียและผลขาดทุนจากรถยึดที่ลดลง รวมถึงผลบวกจากโครงการ “คุณสู้ เราช่วย”            ด้าน NPL Ratio อยู่ที่ 2.75% เพิ่มจาก 2.59% ใน 4Q24กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 24% ของกำไรสุทธิทั้งปี 2025F คาดที่ 2.13 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +1% y-y            เบื้องต้นประมาณการมี downside จาก GDP คาดที่ 2.4-2.7% และดอกเบี้ยนโยบายคาดที่ 2.0% มีโอกาสต่ำกว่าคาด            คาดกำไรสุทธิ ไตรมาส2/2568 ลดลง y-y ทรงตัว q-q แม้สินเชื่อรวมและ NIM มีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตามมองว่าจะถูกชดเชยกับการลดลงของค่าใช้จ่ายสำรอง            คำแนะนำคงคำแนะนำ BUY และคง ราคาเป้าหมาย ที่ 2.2 บาท เพราะมีผลประโยชน์ทางภาษีเหลือจำนวน 9.4 พันล้านบาท ณ ไตรมาส 1/2568 (สามารถใช้ได้ถึงปี 2028) และการตั้งสำรองน้อยลง คาดช่วยหนุนกำไรสุทธิในช่วง 2568ปันผลต่อปีสูง Dividend yield คาดที่ 7% โดย ครึ่งปีหลัง 2568 ประกาศจ่ายปันผลระหว่าง 0.065 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend yield ที่ 3.3% ขึ้น XD วันที่ 25/04/25

SET วิ่งแรงท้ายสัปดาห์ ปิด 1,150.95 จุด บวก 9.67 จุด

SET วิ่งแรงท้ายสัปดาห์ ปิด 1,150.95 จุด บวก 9.67 จุด

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (18 เม.ย. 68) ปิดที่ระดับ 1,150.95 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด หรือคิดเป็น 0.85 % แผนเจรจาการค้าสหรัฐฯหนุน แถมหุ้น DELTA ดีดแรง 4.55% คาด SET สัปดาห์หน้าแกว่งตัวในกรอบ ไร้ปัจจัยใหม่หนุน           นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ ปิดที่ระดับ 1,150.95 จุด เพิ่มขึ้น 9.67 จุด หรือคิดเป็น 0.85 % จากแรงซื้อหนุนจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น และราคาหุ้นของบริษัท เดลต้า อิเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA ที่ปรับตัวขึ้น โดยราคาปิดอยู่ที่ 69 บาท +3.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น +4.55% ส่งผลเชิงบวกต่อตลาดโดยรวม ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำการในวันนี้ เนื่องในวัน Good Friday           สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (21-25 เม.ย. 68) คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบทรงตัว เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนตลาด โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวที่แนวรับ 1,100 จุด และแนวต้าน 1,180 จุด           กลยุทธ์การลงทุน แนะนำให้นักลงทุนเน้นถือหุ้นในกลุ่มค้าปลีกภายในประเทศ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจโลก           ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า และผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่กำลังจะประกาศออกมา ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นในระยะต่อไป รายงานโดย: นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

TRUE ร่วม กสทช. เปิดระบบเตือนภัย บนมือถือ iPhone - Android ในไทย

TRUE ร่วม กสทช. เปิดระบบเตือนภัย บนมือถือ iPhone - Android ในไทย

           หุ้นวิชั่น - 18 เมษายน 2568 - ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมเปิดใช้ระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน Cell Broadcast Service (CBS) ทั่วประเทศ ล่าสุดสามารถใช้งานบนมือถือ iPhone ได้แล้ว หลังจากที่รองรับบนมือถือ Android รุ่นที่ใช้ 4G และ 5G โดยไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ถือเป็นก้าวสำคัญสู่มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล เป็นรายแรกติดตั้งระบบ CBS ครบทุกสถานีฐานเพื่อรองรับการเตือนภัยพิบัติหรือเหตุต่างๆ ในทุกพื้นที่ของประเทศ โดยพร้อมให้บริการแล้วเพื่อประชาชนไทยทั้งระบบจริงหรือระบบเสมือน (Virtual Cell Broadcast)            นายจักรกฤษณ์ อุไรรัตน์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกิจการองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กล่าวว่า "จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในไทยครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา และล่าสุดเมื่อวันที่ 14 เมษายน ที่จังหวัดกระบี่ สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศไทยต้องมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ทรู คอร์ปอเรชั่นในฐานะบริษัทโทรคมนาคม-เทคโนโลยีชั้นนำของไทย มีความห่วงใยและได้เร่งดำเนินการติดตั้งระบบ Cell Broadcast Service เสร็จเรียบร้อยทุกเสาสัญญาณครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศเป็นรายแรก ซึ่งเดิมทดสอบและพร้อมให้บริการบนมือถือ Android สำหรับรุ่นที่ใช้งาน 4G และ 5G ล่าสุดวันนี้เราพร้อมให้บริการเพิ่มบน iPhone แล้ว ไม่ว่าจะเป็นระบบจริงหรือระบบเสมือน (Virtual Cell Broadcast) หากเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน ทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สามารถประสานการเตือนภัยนำมาใช้แจ้งแก่ลูกค้าทรูมูฟ เอชและดีแทคผ่านระบบนี้ได้ทันที" CBS ความพร้อมของระบบและอุปกรณ์            ระบบ Cell Broadcast Service (CBS) ของทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ผ่านการทดสอบและรองรับการใช้งานอย่างสมบูรณ์บนมือถือ iPhone และมือถือระบบ Android ที่รองรับเทคโนโลยี 4G และ 5G ซึ่งสามารถรับข้อความแจ้งเตือนได้โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ล่าสุด สำหรับผู้ใช้งาน iPhone สามารถตรวจสอบตั้งค่าเพื่อรับข้อความแจ้งเตือนได้แล้วผ่านเมนู Settings > Notifications > Amber Alerts และ Emergency Alerts ทั้งนี้ ข้อความแจ้งเตือนจะแสดงบนหน้าจอ Apple Watch ในกรณีถ้าใช้งานร่วมด้วย            นายจักรกฤษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า "ทรู คอร์ปอเรชั่นได้ทำการทดสอบระบบ CBS กับมือถือ iPhone และมือถือระบบ Android ในสถานการณ์จำลองภายในอาคารทรู ทาวเวอร์ รัชดา โดยที่ผ่านมาได้ทำการทดสอบระบบ CBS ร่วมกับ สำนักงาน กสทช. และ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พบว่าระบบสามารถส่งข้อความแจ้งเตือนได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และเจาะจงพื้นที่ได้ตามที่กำหนด ข้อความแจ้งเตือนจะปรากฏทันทีบนหน้าจอมือถือของผู้ใช้งานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกว่าการส่งข้อความแบบ SMS ทั้งในด้านความรวดเร็วและความสามารถในการกำหนดพื้นที่เป้าหมายเพื่อแจ้งข้อความเตือนภัย" การยกระดับความปลอดภัยของประเทศไทยสู่มาตรฐานสากล            การทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉิน Cell Broadcast Service ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) บนมือถือ iPhone และมือถือระบบ Android ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยสู่การมีระบบแจ้งเตือนภัยที่มีมาตรฐานระดับสากล ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกได้นำมาใช้อย่างแพร่หลาย อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ระบบ Cell Broadcast เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในการแจ้งเตือนภัย เนื่องจากสามารถส่งข้อความไปยังอุปกรณ์มือถือจำนวนมากในพื้นที่เฉพาะได้พร้อมกัน ซึ่งแตกต่างจากการส่งข้อความแบบ SMS ทั่วไป เพื่อให้มั่นใจว่าประชาชนจะได้รับการแจ้งเตือนในยามฉุกเฉิน            "ความร่วมมือระหว่างทรู คอร์ปอเรชั่น กสทช. และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) นับเป็นการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ ได้อย่างทันท่วงที" นายจักรกฤษณ์ กล่าว โครงสร้างการทำงานของระบบ Cell Broadcast Service ระบบ Cell Broadcast Service จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ต้องประกอบด้วยสององค์ประกอบหลัก คือ • CBC (Cell Broadcast Center) - เป็นส่วนที่ดำเนินการโดยผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งทรู คอร์ปอเรชั่นได้ติดตั้งและพร้อมให้บริการแล้ว 100% • CBE (Cell Broadcast Entity) - เป็นส่วนที่กำลังดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในการส่งข้อความแจ้งเตือนในกรณีที่เกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉิน            "ทรู คอร์ปอเรชั่นมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนชาวไทย ด้วยการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาสนับสนุนการเตือนภัยและการรับมือกับภัยพิบัติต่างๆ การพัฒนาระบบ Cell Broadcast Service ในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในการยกระดับคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของคนไทย" นายจักรกฤษณ์ กล่าวในที่สุด [PR News]

TEGH แปรสภาพ “TEBP” เดินหน้าเข้าตลาด mai ปลายปีนี้

TEGH แปรสภาพ “TEBP” เดินหน้าเข้าตลาด mai ปลายปีนี้

          บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ประกาศแปรสภาพบริษัทย่อย คือ บริษัท “ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์” หรือ “TEBP” เป็นบริษัท “มหาชน” เรียบร้อยแล้ว เตรียมความพร้อมเข้าตลาด mai เสริมทัพสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน และผลักดันการเติบโตในอนาคต           นางสาวสินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH ผู้ผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ และน้ำมันปาล์มดิบรายใหญ่ในภาคตะวันออก และผู้นำด้านการผลิตพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์แบบครบวงจรรายใหญ่ในพื้นที่ EEC เปิดเผยว่า บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (TEBP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ได้จดทะเบียนแปรสภาพจากบริษัทจำกัด เป็นบริษัท “มหาชน” กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 โดยมีชื่อว่า “บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน)” และชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “THAI EASTERN BIO POWER PUBLIC COMPANY LIMITED” หรือ “TEBP”           ทั้งนี้ การแปรสภาพบริษัทดังกล่าวเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปลายปีนี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Leading Green Energy Revolution: Pioneering the Net Zero Solution”           โดย บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) มีแผนเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินและสร้างการเติบโตทางธุรกิจในอนาคต ซึ่งบริษัทฯ จะเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) เท่ากับหุ้นละ 1 บาท โดยจะออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น และ TEGH จะขายหุ้นเดิมจำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น รวมจำนวนหุ้นที่จะ IPO ทั้งหมดไม่เกิน 90 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 30.00% ของหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมดของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) โดยภายหลังการ IPO TEGH ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) และจะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ภายหลังการ IPO           ปัจจุบัน บริษัท ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตพลังงานทดแทนประเภทพลังงานชีวภาพแบบครบวงจร และรับบริหารจัดการกากของเสียอินทรีย์รายใหญ่ในพื้นที่ EEC โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สินค้าและบริการประกอบด้วย 3 ธุรกิจ คือ ธุรกิจรับบริหารจัดการกากอินทรีย์, ธุรกิจผลิตและจำหน่ายก๊าซชีวภาพ และธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ

BA ดิ่ง 6.59% กังวลราคาน้ำมันฟื้น-ผู้โดยสารชะลอ กดกำไรปีนี้

BA ดิ่ง 6.59% กังวลราคาน้ำมันฟื้น-ผู้โดยสารชะลอ กดกำไรปีนี้

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บล.ธนชาต ระบุ ราคาหุ้นบริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA ปรับตัวลดลงกว่า 7% คาดว่ามาจากความกังวลราคาน้ำมันที่ฟื้นตัว และกำไรที่ลดลงในปีนี้ โดยคาดว่ากำไรปีนี้จะลดลง 5% y-y จากการเติบโตของผู้โดยสารที่ชะลอตัวลง และต้นทุนการบำรุงรักษาที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดียังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BA พื้นฐาน 23 บาท จาก 3 เหตุผล คือ 1. มูลค่า “น่าสนใจ” โดยธุรกิจสายการบินและสนามบินซื้อขายที่ PE เพียง 4 เท่า ในปีนี้ เทียบกับคู่แข่งเทรดที่ PE 10-12 เท่า 2. ชอบกลยุทธ์ที่เน้นไปที่เส้นทางบินผูกขาดสมุย และมีการกระจายความเสี่ยงไปยังธุรกิจสนามบินซึ่งความเสี่ยงต่ำกว่าและกำไรสูงกว่า 3. งบการเงินแข็งแกร่ง อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่เพียง 0.4-0.6 เท่าในปี 2025-27F

MASTER เสิร์ฟความสวย สูตรลับโตไว...ไม่ธรรมดา! l Vision Inside

MASTER เสิร์ฟความสวย สูตรลับโตไว...ไม่ธรรมดา! l Vision Inside

https://youtu.be/TI0RHGlUNAU?si=pS1La7W_BOLNPFnI

CH แก้เกมภาษีทรัมป์ เร่งส่งออกล็อตใหญ่  80%

CH แก้เกมภาษีทรัมป์ เร่งส่งออกล็อตใหญ่ 80%

           CH รับมือมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เร่งส่งออกสินค้าล็อตใหญ่ 80% พร้อมวางหมากระยะยาว เจรจาคู่ค้าเดิม ขยายตลาดใหม่ยุโรป-เอเชีย-ตะวันออกกลาง ตามความต้องการบริโภคผลไม้แปรรูปคุณภาพสูง เล็งลงทุนต่างประเทศลดภาษี สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งในเวทีโลก สร้างโอกาสเติบโต มั่นใจสินค้ามีคุณภาพ มีมาตรฐาน พร้อมรับทุกสถานการณ์            นายศักดา ศรีแสงนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจริญอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ CH ผู้ผลิตและจำหน่ายผลไม้และอาหารแปรรูป ได้แก่ ผลไม้อบแห้ง ปลากระป๋อง และขนมเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า จากมาตรการนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยของสหรัฐอเมริกาภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายฝ่าย รวมถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทบางส่วน ที่มีการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ ในช่วงระยะขยายเวลาระงับการเก็บภาษีต่างตอบแทนเป็นเวลา 90 วัน บริษัทได้เร่งดำเนินการส่งออกสินค้าที่มีออเดอร์ล่วงหน้าอยู่แล้วราว 80% ไปยังคู่ค้าในประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อลดผลกระทบด้านภาษีที่อาจเกิดขึ้น โดยสินค้าของบริษัทยังคงสามารถส่งออกได้ตามปกติ            อย่างไรก็ตาม เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต CH มีแนวทางดังนี้ คือ 1.ดำเนินการเจรจาเชิงลึกกับคู่ค้าเดิมในสหรัฐอเมริกา เพื่อหาทางออกร่วมกัน 2.มุ่งกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศในโซนยุโรปซึ่งยังมีความต้องการบริโภคผลไม้แปรรูปคุณภาพสูงจากเอเชียอย่างต่อเนื่อง และมีแผนขยายกลุ่มลูกค้าไปยังประเทศอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ จีน อินเดีย และตะวันออกกลาง โดยตั้งงบการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ในปี 2568 3.แผนระยะยาว คือ การลงทุนในประเทศที่เสียภาษีน้อยกว่า รวมถึงมีวัตถุดิบใกล้เคียงกับประเทศไทย 4.ลงทุนในวัตถุดิบระยะยาว เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ถูกลง และ 5.รักษาสภาพคล่องกระแสเงินสด เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท รวมถึงเป็นเงินทุนสำรอง            “ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้น ถือเป็นความท้าทายจากปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราเชื่อมั่นว่า CH เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานและศักยภาพสูง สามารถแข่งขันในตลาดสากลได้ พร้อมเดินหน้าปรับตัวในทุกสถานการณ์ เพื่อรักษาเสถียรภาพของบริษัท และสร้างโอกาสใหม่อยู่เสมอ ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้บริษัทสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้า และสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งขึ้นในเวทีโลก โดยปัจจุบันได้ขยายไปแล้วในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, อิตาลี, นอร์เวย์, ญี่ปุ่น, จีน, เลบานอน, อินเดีย และซาอุดิอาระเบีย มั่นใจว่าการขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ จะสร้างการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ” นายศักดา กล่าว [PR news]

KJL ชู “Pull Box ชุบกัลวาไนซ์” เจาะโครงการ-อุตสาหกรรม

KJL ชู “Pull Box ชุบกัลวาไนซ์” เจาะโครงการ-อุตสาหกรรม

          กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค หรือ KJL ลุยเปิดศักราชใหม่ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์ระบบไฟฟ้ารุ่นล่าสุด “Pull Box ชุบกัลวาไนซ์” ทั้งแบบเหล็กหนา 1.6 และ 1.2 มม. รับมือทุกหน้างานจากอาคารพาณิชย์ถึงโรงงานใหญ่ พร้อมตอบโจทย์ช่างมืออาชีพในยุคที่คุณภาพต้องมาก่อน รองรับตลาดระบบไฟฟ้าเติบโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการอาคารพาณิชย์ โรงงานอุตสาหกรรม และโครงการระดับเมกะโปรเจกต์ทั่วประเทศ           นายเกษมสันต์ สุจิวโรดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กิจเจริญ เอ็นจิเนียริ่ง อีเลคทริค จำกัด (มหาชน) หรือ KJL ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ในช่วงไรมาสแรก ปี 2568 บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “Pull Box ชุบกัลวาไนซ์” 2 รุ่นใหม่ล่าสุด ประกอบด้วย 1. Pull Box ชุบกัลวาไนซ์ – เหล็กหนา 1.6 มม. เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความแข็งแรง ทนทานเป็นพิเศษ เช่น โรงงานอุตสาหกรรม หรือพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมรุนแรง กล่องผลิตจากเหล็กคุณภาพสูง เคลือบกันสนิมแบบกัลป์วาไนซ์ทั้งภายในและภายนอก 2. Pull Box ชุบกัลวาไนซ์ – เหล็กหนา 1.2 มม. รุ่นมาตรฐานที่เน้นความคล่องตัว ติดตั้งง่าย น้ำหนักเบากว่า แต่ยังคงความแข็งแรง เหมาะสำหรับงานติดตั้งทั่วไปในโครงการ อาคารพาณิชย์ และระบบภายในอาคารทั้ง 2 รุ่นผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้า KJL ทุกชิ้นสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง           “ผลิตภัณฑ์ใหม่นี้เป็นอีกก้าวสำคัญของ KJL ในการสร้างทางเลือกให้แก่ผู้ใช้งานระบบไฟฟ้าในทุกระดับ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนา Pull Box ให้มีความแข็งแรง ปลอดภัย กันสนิม และติดตั้งง่าย เพื่อตอบรับความต้องการของโครงการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ทั้งในด้านคุณภาพและมาตรฐานความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรุ่นดังกล่าวได้ผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และกระบวนการควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้า KJL ทุกชิ้นสามารถรองรับการใช้งานจริงในทุกสภาพแวดล้อม และพร้อมวางจำหน่ายวันนี้ทั่วประเทศ” นายเกษมสันต์ กล่าว [PR News]

หุ้นไทยบ่าย Sideway ต่อ แรงขายแบงก์ฉุดตลาดฯ

หุ้นไทยบ่าย Sideway ต่อ แรงขายแบงก์ฉุดตลาดฯ

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ตลาดหุ้นไทย ปิดตลาดเช้าวันนี้ (18 เม.ย. 68) ที่ 1,145.16 จุด เพิ่มขึ้น 3.88 จุด หรือคิดเป็น 0.34% คาดช่วงบ่าย Sideway ออกข้าง            นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด (GBS) เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้า ปิดตลาดที่ 1,145.16 จุด +3.88 จุด (+0.34%) มูลค่าการซื้อขาย 13,773.12 ล้านบาท โดยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีแรงซื้อหนุน นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบดับบลิวทีไอ WTI ปรับตัวขึ้น ประกอบกับมีแรงซื้อเพิ่มเติมในหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และไอซีที            อย่างไรก็ตาม มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นปัจจัยกดดันทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นได้อย่างจำกัด สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงบ่าย คาดดัชนียังแกว่งตัวในลักษณะ Sideway ต่อเนื่องจากช่วงเช้า โดยมีแรงขายหลักในหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะที่มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังน้ำมันดิบดับบลิวทีไอ (WTI) ปรับตัวขึ้นแรง            โดยวางกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีในช่วงบ่าย ประเมินแนวรับไว้ที่ 1,135 จุด และแนวต้านที่ 1,150 จุด            พร้อมแนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นลักษณะเก็งกำไร IP และ NSL รายงานโดย : นางสาวกมลวรรณ สมานโสร์ ผู้สื่อข่าว Hoonvision

D รับรางวัลงาน “ttb financial well-being awards 2024”

D รับรางวัลงาน “ttb financial well-being awards 2024”

          นายพรศักดิ์ ตันตาปกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  และ คุณลูซินดา เฉิน  ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท เดนทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ D  รับรางวัล บริษัทที่ได้รับรางวัลประเภทคะแนนรวมสูงสุด ที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 คน ในงาน  “ttb financial well-being awards 2024”  จัดโดย ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี  เพื่อมอบ รางวัล ให้แก่ 10 องค์กรชั้นนำ ที่เห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้พนักงานในองค์กรมีชีวิตทางการเงินดีขึ้นรอบด้าน ทั้งการส่งเสริมการเก็บออม บริหารจัดการหนี้อย่างเป็นระบบ มีความคุ้มครอง และวางแผนลดหย่อนภาษีได้อย่างคุ้มค่า พร้อมส่งเสริมให้พนักงานมีความรู้ ความเข้าใจ ควบคู่การวางแผนบริหารจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ           สำหรับรางวัล “ttb financial well-being awards 2024” จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 มีหลักเกณฑ์การให้คะแนนพิจารณาจาก แนวทางส่งเสริมชีวิตทางการเงินที่ดีของพนักงานรอบด้านทั้ง 4 หัวข้อ 1.ส่งเสริมชีวิตทางการเงินที่ดีขึ้น 2. ส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน 3. ส่งเสริมการเก็บออม และ 4. ส่งเสริมวินัยการบริหารหนี้ที่ดี ซึ่ง 10 องค์กรที่ได้รับรางวัลจะได้รับเงินสนับสนุนองค์กร มูลค่า 100,000 บาท พร้อมโล่รางวัลยกย่องความเป็นเลิศขององค์กร โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ บริษัทที่ได้รับรางวัลประเภทคะแนนรวมสูงสุด ที่มีพนักงานน้อยกว่า 500 คน และบริษัทที่ได้รับรางวัลประเภทคะแนนรวมสูงสุด ที่มีพนักงานมากกว่า 500 คน

CHEWA จับมือพันธมิตร ตอกย้ำมาตรฐาน!

CHEWA จับมือพันธมิตร ตอกย้ำมาตรฐาน!

          ชีวาทัย มุ่งสร้างความมั่นใจต่อเนื่อง จับมือกับพันธมิตรตรวจสอบและดูแล หลังเหตุแผ่นดินไหว ครบ 100% ตั้งแต่โครงการแรกที่สร้าง           หุ้นวิชั่น - บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA ยังคงยืนหยัดในบทบาทผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความตั้งใจที่จะมอบความอุ่นใจและความไว้วางใจในคุณภาพชีวิตให้กับลูกบ้าน โดยเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายด้าน เพื่อให้การดูแลครอบคลุมทุกแง่มุมของความปลอดภัย การออกแบบ และการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหวที่ผ่านมา           ในส่วนของโครงสร้างอาคาร บริษัทฯ ได้จับมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่เป็นผู้ก่อสร้างและดูแลแต่ละโครงการมาเองตั้งแต่ต้น ได้แก่ บริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด, บริษัท นีโอ 727 จำกัด,  บริษัท พรพระนคร จำกัด, บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จํากัด , บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) , บริษัท 22 คอนซัลแต้นท์ แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ,บริษัท ๙ นาคราช จำกัด และพันธมิตรอีกจำนวนมาก ซึ่งล้วนเป็นองค์กรที่มีความชำนาญด้านวิศวกรรมบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง ทั้งนี้ การทำงานร่วมกันกับพันธมิตรดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของชีวาทัยในการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของโครงสร้างที่อยู่อาศัย เพื่อลดความกังวลและสร้างความมั่นใจให้กับลูกบ้านทุกโครงการ ตั้งแต่โครงการแรกที่ชีวาทัยก่อสร้างบริษัท           นอกจากการดูแลด้านโครงสร้างแล้ว บริษัท ชีวาทัยฯ ยังได้ผนึกกำลังกับบริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) , บริษัท อะตอม ดีไซน์ จำกัด และบริษัท เดอะ โบว์มอนท์ พาร์ทเนอร์ส จำกัด พร้อมด้วยพันธมิตรด้านสิทธิพิเศษอีกมากมาย มาช่วยส่งมอบบริการด้านงานสถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน พร้อมทั้งให้คำปรึกษากับลูกบ้านในการแก้ไข ซ่อมแซมส่วนที่อาจจะเสียหายจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา โดยการทำงานร่วมกันกับพันธมิตรหลากหลายด้านนี้เป็นภาพสะท้อนของวิสัยทัศน์ที่ยั่งยืนของชีวาทัย โดยมุ่งเน้นไปที่ความใส่ใจในการดูแลลูกบ้าน ทั้งในแง่ความปลอดภัย ความสวยงาม ความสะดวกสบาย และเพื่อให้ลูกบ้านสามารถไว้วางใจได้เสมอ ถึงความเป็นพันธมิตรที่สร้างความสุขและความมั่นใจในทุกวันของการอยู่อาศัยของชีวาทัย [PR News]

SMD100 พร้อมบริการ  Sleep Test Center - ปักเป้า 375 ล.

SMD100 พร้อมบริการ Sleep Test Center - ปักเป้า 375 ล.

          SMD100 โชว์ศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจร ณ ศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ ขนาด 11 เตียง ใหญ่โตและหรูหราแถวหน้าในเขตเอเซียแปซิฟิก พร้อมให้บริการแล้ววันนี้ พร้อมตั้งเป้ารับรองมาตรฐานสากล AACI คาดสร้างรายได้สะสมกว่า 375 ล้านบาทใน 5 ปี           หุ้นวิชั่น - บริษัท เอสเอ็มดี ไรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SMD rise Public Co., Ltd. (รหัสหลักทรัพย์ SMD100) ประกาศความพร้อมเปิดให้บริการ ศูนย์ตรวจการนอนหลับครบวงจร (Sleep Test Center) ณ ศูนย์การแพทย์ธรรมศาสตร์ (Thammasat Healthcare Center – THAMC) อย่างเป็นทางการ โดยเป็นผลจากความร่วมมือระหว่างบริษัทฯ และ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมุ่งยกระดับระบบบริการด้านเวชศาสตร์การนอนหลับ (Sleep Medicine) ของประเทศไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล ทั้งในด้านคุณภาพทางคลินิก เทคโนโลยี และผลกระทบเชิงระบบ จุดเปลี่ยนของระบบสุขภาพ: ผสานเทคโนโลยี นโยบาย และบริการในรูปแบบครบวงจร           พิธีลงนามความร่วมมือจัดขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567 และศูนย์ฯ ได้เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2568 โดยเปิดให้ประชาชนเข้ารับบริการจริงตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา           ศูนย์ฯ แห่งนี้ติดตั้งเครื่องตรวจ Polysomnography (PSG) แบบ Type I จำนวน 11 เตียง ซึ่งนับเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน และมีศักยภาพรองรับผู้ป่วยสูงสุดถึง 11 คนต่อคืน ลดเวลารอคิวจากเฉลี่ย 6 เดือน เหลือเพียงไม่เกิน 1 สัปดาห์ เป้าหมายระดับนานาชาติ: รับรองมาตรฐาน AACI ภายใน 15 พฤษภาคม 2568           บริษัทตั้งเป้าให้ศูนย์ฯ ผ่านการรับรองจาก American Accreditation Commission International (AACI) ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 เพื่อยืนยันคุณภาพระบบบริการในระดับสากล และยกระดับสถานะของศูนย์ฯ สู่การเป็นต้นแบบด้านเวชศาสตร์การนอนหลับของประเทศไทย ซึ่งมีความสำคัญต่อการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อาทิ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะสมองเสื่อม และโรคเมตาบอลิซึม มุมมองจากผู้นำองค์กร: การนอนหลับคือโครงสร้างพื้นฐานแห่งสุขภาพยุคใหม่           ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายออกแบบนโยบายสุขภาพ บริษัท เอสเอ็มดี ไรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวอย่างชัดเจนว่า: “SMD rise ไม่ได้แค่ดำเนินธุรกิจศูนย์ตรวจการนอนหลับ แต่เรากำลังลงทุนใน ‘โครงสร้างพื้นฐานของสุขภาพที่ยั่งยืน’ ศูนย์ตรวจการนอนหลับแห่งนี้จะเป็นต้นแบบของการวางระบบการป้องกันโรคเรื้อรังต่างๆ(NCDs) เป้าหมายของเราคือการผลักดันให้การนอนหลับกลายเป็นตัวแปรสำคัญในนโยบายสุขภาพระดับชาติ และเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพในศตวรรษนี้” ผลกระทบเชิงบวก: ทั้งเชิงระบบบริการและกลยุทธ์ธุรกิจ • ย่นระยะเวลารอคิวการตรวจจาก 6 เดือน เหลือไม่เกิน 1 สัปดาห์ • เพิ่มอัตราการวินิจฉัยและเริ่มการรักษาในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เช่น นอนกรน ง่วงผิดปกติ นอนไม่หลับเรื้อรัง โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคหลอดเลือดสมอง • ต่อยอดสู่การขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม Sleep & Respiratory Care ผ่านการจำหน่าย CPAP และบริการหลังการขายแบบครบวงจร • พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ ทั้งในรูปแบบ B2B, B2C และ B2B2C พร้อมเชื่อมต่อกับระบบติดตามผล Telemonitoring และ Home Sleep Health Program [PR News]

ICHI จับตา Q2 น่าสนใจ ไฮซีซั่นหนุนโต - เป้า 15.6 บ.

ICHI จับตา Q2 น่าสนใจ ไฮซีซั่นหนุนโต - เป้า 15.6 บ.

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง บริษัท บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ว่าคาดการณ์กำไร 1Q25 ไม่เด่น และคาดกำไรจะกลับมาสวยใน 2Q25 หลังจากถูกกดดันช่วงฤดูหนาวที่ยาวนาน           เราคาดกำไรปกติใน 1Q25 ที่ 239 ลบ. (+15.7% QoQ, -34.4% YoY) โดยสรุปสาระสำคัญดังนี้ คาดรายได้ที่ 1,755 ลบ. (-12.6% QoQ, -18.0% YoY) เนื่องจากฤดูหนาวที่ยาวนานจากการได้รับผลกระทบจากลานีญากดดันอุปสงค์สินค้ากลุ่มเครื่องดื่มในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ GPM คาดอยู่ที่ 23.5% ลดลงทั้ง QoQ และ YoY จาก U-rate ที่ลดลงตามทิศทางยอดขาย รวมถึงการเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ของเครื่องจักรใหม่ในเดือนมี.ค. 2025 ที่ในช่วงแรกอาจยังไม่สามารถผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ SG&A/Sales คาดอยู่ที่ 7.0% ลดลง QoQ เนื่องจากไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายโบนัสพนักงานที่สูงเหมือนใน 4Q24 แต่สูงขึ้น YoY เนื่องจากบริษัทมีการใช้ค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่ระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ขณะที่รายได้ลดลง ส่วนแบ่งกำไรจากอินโดนีเซียคาดที่ 2 ลบ. พลิกจากขาดทุน 4 ลบ. ใน 4Q24 เนื่องจากไม่มีการตั้งสำรองสินค้าล้าสมัย แต่ยังลดลงจาก 12 ลบ. ใน 1Q24 เนื่องจากเศรษฐกิจในอินโดนีเซียที่ชะลอตัวลง ประกอบกับการเกิดอุทกภัยในบางพื้นที่ คาดกำไรจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้งใน 2Q25           เบื้องต้นเราคาดกำไรจะกลับมาเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ได้อีกครั้งใน 2Q25 หนุนจากการเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน และเทศกาลสงกรานต์ ประกอบกับการเร่งทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น การรับรู้กำลังการผลิตใหม่เต็มไตรมาสที่จะทำให้บริษัทสามารถกลับมาผลิตสินค้าให้ IF ได้อีกครั้ง และการรับรู้รายได้จากลูกค้าใหม่อย่าง TKN นอกจากนี้บริษัทยังใช้กำลังการผลิตที่เหลือสำหรับการออกสินค้าใหม่มากขึ้นราว 7 SKUs GPM ใน 2Q25 คาดกลับมาฟื้นตัว QoQ จาก U-rate ที่ปรับตัวดีขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากอินโดนีเซียคาดเห็นการฟื้นตัวต่อ QoQ จากฐานต่ำใน 1Q25 ที่เกิดเหตุอุทกภัย โดยปัจจุบันเริ่มมีลูกค้ากลับมาสั่งซื้อสินค้ามากขึ้นแล้ว ขณะที่การขายที่ดินที่ จ.อยุธยา มูลค่าราว 100-120 ลบ. คาดจะเสร็จสิ้นภายใน 2Q25 ทำให้บริษัทมีโอกาสจ่ายเงินปันผลพิเศษในอนาคต เป็น Upside ต่อการคาดการณ์เงินปันผลของเรา คงราคาเหมาะสมที่ 15.60 บาท และเลือกเป็น Top pick ของกลุ่มใน 2Q25           หากกำไรใน 1Q25 ออกมาตามคาด จะคิดเป็น 16.9% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา แม้กำไรใน 1Q25 จะอ่อนแอกว่าปีอื่นๆ แต่เนื่องจากแนวโน้มกำไรที่คาดจะกลับมาเติบโต YoY ได้อีกครั้งตั้งแต่ใน 2Q25 จากการขยายกำลังการผลิต ทำให้กำไรทั้งปียังอยู่ในกรอบประมาณการ เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 2025 ไว้ที่ 1,409 ลบ. (+10.6% YoY) และคงราคาเหมาะสมที่ 15.60 บาท           เราประเมินว่า ICHI เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีความเสี่ยงทั้งจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และภาษีความหวานเฟส 4 จำกัด (ปรับสูตรแล้วใน 1Q25) แต่ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงตามภาวะตลาดสะท้อนงบ 1Q25 ที่อ่อนแอไปแล้ว โดยซื้อขายบน PER25 เพียง 11.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 20.3 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถคาดหวังเงินปันผลงวด 1H25 ได้ที่ระดับ 4-5% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” และเลือก ICHI เป็น Top pick ของกลุ่มเครื่องดื่มใน 2Q25

BBL บิ๊กเซอร์ไพรส์! กำไร 1.26 หมื่นล้าน

BBL บิ๊กเซอร์ไพรส์! กำไร 1.26 หมื่นล้าน

           หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง BBL ว่า กำไรดีกว่าคาด หลังบันทึกกำไรจากเงินลงทุนในตราสารหนี้ Earnings Results ► BBL รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 12,618 ล้านบาท เติบโตเด่น 19.9% YoY และ 21.3% QoQ ดีกว่าที่เราและตลาดคาดไว้ 12.6% และ 11% ตามลำดับ ► ปัจจัยที่ทำให้กำไรสุทธิดีกว่าคาดมาจาก รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ที่เติบโต 27.4% QoQ (ดีกว่าที่เราคาดไว้ 42.4%) หลังมีกำไรจากเงินลงทุนที่บริษัทได้ขายทำกำไรจำนวนกว่า 2,897 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากจากเพียง 133 ล้านบาทใน 4Q24 บวกกับ รายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิ ที่เติบโต 8.3% QoQ โดยเฉพาะธุรกิจนายหน้าประกันที่ขยายตัวได้ดี จากอานิสงส์ของการเร่งซื้อประกันก่อนเริ่มบังคับใช้เงื่อนไข Co-payment ► Cost to Income Ratio ลดลงเหลือ 45.5% จาก 53.0% ใน 4Q24 เนื่องจากมีการโอนกลับค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่ได้มีการเบิกใช้จริง ► ทั้งนี้ ผลบวกดังกล่าวบางส่วนถูกหักล้างด้วย รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 6.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 2.8% จาก 3.1% ใน 4Q24 สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารตามดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่ต้นทุนทางการเงินยังปรับลงได้ไม่ทันกับรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลง ► NPL ปรับขึ้นเป็น 3.6% จาก 3.2% ใน 4Q24 ทำให้การตั้งสำรองสูงขึ้น 18.8% QoQ แต่ส่วนใหญ่เป็น Relapsed NPL จากลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ที่มีการชำระเงินล่าช้าในบางช่วง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ BBL ตั้งสำรองไว้มากแล้วและไม่ได้โอนกลับสำรองออกมาเวลาที่ลูกหนี้ดังกล่าวกลับมาชำระเงิน ทำให้การตั้งสำรองใน 1Q25 ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเมื่อเทียบกับ NPL ที่สูงขึ้น Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27.4% ของประมาณการทั้งปี โดยเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิใน 2Q25 จะลดลงทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากกำไรจากเงินลงทุนที่ต่ำลงจากฐานสูงใน 1Q25 รวมถึง NIM ที่คาดว่าจะลดลงต่อ จากการรับรู้ผลกระทบของการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเต็มไตรมาส บวกกับการรับรู้ต้นทุนดอกเบี้ยจาก Subordinated Note (ตราสารหนี้ที่นับเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 2) จำนวน 1,000 ล้านดอลลาร์ฯ ► ทั้งปี 2025 คาดว่า BBL จะมีกำไรสุทธิ 45,987 ล้านบาท เติบโต 1.7% YoY ► แม้แนวโน้มกำไรใน 2Q25 จะชะลอตัวลง แต่ BBL ยังถือเป็น หุ้น Laggard เมื่อเทียบกับกลุ่มธนาคาร โดยมีการซื้อขายที่ PBV ปี 2025 เพียง 0.5x ขณะที่ธนาคารใหญ่รายอื่นซื้อขายที่ PBV ระดับ 0.6-0.8x อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside ราว 29.7% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2025 ที่ 190 บาท และคาดว่าจะให้ Dividend Yield ที่ 5.8% ► ในระยะสั้น คาดว่าตลาดจะตอบรับเชิงบวกจากกำไรสุทธิที่ดีกว่าที่คาด เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

TISCO กำไรไม่ว้าว! แต่ปันผลแรง 5.75 บ.

TISCO กำไรไม่ว้าว! แต่ปันผลแรง 5.75 บ.

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง TISCO ว่า กำไรใกล้เคียงคาด…รายได้ลดลง พร้อมกับสำรองที่สูงขึ้น Earnings Results ► TISCO รายงานกำไรสุทธิ 1Q25 จำนวน 1,643 ล้านบาท ลดลง 5.2% YoY และ 3.4% QoQ ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด ► ปัจจัยกดดันหลักๆ มาจาก           รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 2.1% QoQ หลัง NIM ลดลงเหลือ 4.8% จาก 4.9% ใน 4Q24 เนื่องจากบริษัทปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำลง อีกทั้งมีผลจากการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ขณะที่สินเชื่อรวมลดลง 0.4% QoQ ตามนโยบายเพิ่มความระมัดระวังในการขยายสินเชื่อ           รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย ลดลง 3.3% QoQ จากฐานสูงใน 4Q24 ที่มีการบันทึก Performance Fee ของธุรกิจบริหารจัดการกองทุนรวมเข้ามา และรายได้ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อที่ลดลงตามขนาดของสินเชื่อรวม แต่บางส่วนถูกชดเชยด้วยกำไรจากเงินลงทุนและรายได้เงินปันผลรับที่สูงขึ้น           การตั้งสำรองสูงขึ้น 14.4% QoQ คิดเป็น Credit Cost ที่ 0.7% เพิ่มขึ้นจาก 0.6% ใน 4Q24 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มตามนโยบายของบริษัทที่ต้องการเพิ่ม Coverage Ratio เพื่อรองรับความเสี่ยงของพอร์ตที่สูงขึ้น ตามการรุกขยายธุรกิจ High Yield อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยลูกหนี้ Stage 2 และ Stage 3 (NPL) ทรงตัวที่ 7.9% และ 2.4% ใกล้เคียงกับ 4Q24 Our Take ► กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 23.7% ของประมาณการทั้งปี เบื้องต้นเรายังคงประมาณการเดิม โดยคาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 จะลดลงต่อทั้ง YoY และ QoQ จากผลของ NIM ที่ต่ำลง แต่คาดว่าจะไม่ลดลงมากเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่ เพราะมีสัดส่วนสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยคงที่สูงราว 61.5% ► ปัจจัยกดดันหลักจะยังเป็นแนวโน้ม Credit Cost ที่ทยอยปรับขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การเติบโตของสินเชื่อกลุ่ม High Yield ยังไม่สามารถเพิ่มขึ้นจนชดเชยปัจจัยกดดันต่างๆ ได้ ทำให้เราคาดว่า TISCO จะมีกำไรสุทธิปี 2025 จำนวน 6,934 ล้านบาท ทรงตัว YoY แต่มีแนวโน้มจะปรับลดประมาณการกำไรสุทธิลง หากการเติบโตของสินเชื่อในกลุ่ม High Yield ยังไม่เร่งตัวขึ้นใน 2Q25 ► เรามีมุมมองเป็นกลางต่อผลดำเนินงานของ TISCO เพราะถือว่าไม่มีประเด็นที่ต่างไปจากความคาดหวังของตลาด แต่ด้วยแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q25 ที่คาดว่าจะลดลงต่อทั้ง YoY และ QoQ ทำให้ไม่เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อสะสมในช่วงสั้น จึงคงคำแนะนำเชิงพื้นฐานเพียง “TRADING” ► ทั้งนี้ TISCO จะ XD วันที่ 28 เม.ย. (ปันผลหุ้นละ 5.75 บาท) ในเชิงกลยุทธ์จึงอาจพิจารณาขายทำกำไรก่อน แล้วรอสะสมใหม่หากราคาปรับลงหลัง XD เพราะมองว่าระยะกลาง-ยาว TISCO ยังมีความน่าสนใจจากการเป็นหุ้นปันผลสูง โดยคาด Dividend Yield ปี 2025 ของ TISCO ที่ 7.4%

BBL ลงนำกลุ่มแบงก์ รับ NPL ขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง

BBL ลงนำกลุ่มแบงก์ รับ NPL ขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง

          หุ้นวิชั่น-ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน ราคาหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ปรับตัวลงนำกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หลังรายงานงบไตรมาส 1/2568 ออกมาพบ NPL ขยับขึ้น-ตั้งสำรองฯ สูง           นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นของ BBL ที่ปรับตัวลงมา คาดมาจาตัวเลข NPL ในไตรมาส 1/2568 ปรับตัวขึ้นมาที่ 3.6% จากไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ 3.2% ประกอบกับยังคงตั้งสำรองฯ ไว้ในระดับสูงอยู่ และแม้ BBL จะมีกำไรสุทธิเติบโตดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่ส่วนใหญ่มาจากเงินลงทุน ไม่ได้มาจากการดำเนินงาน ขณะเดียวกันส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ต่ำกว่าคาดด้วย ทั้งนี้ด้วยปัจจัยดังกล่าว ทำให้กระทบต่อภาพรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ตัวอื่นๆ อีกทั้งมอง BBL ไม่น่าสนใจ เทียบกับตัวอื่นๆ ที่ให้ปันผลดีกว่า

GLOBAL สาขาใหม่หนุนยอดขาย  โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 8.50 บ.

GLOBAL สาขาใหม่หนุนยอดขาย โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 8.50 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กรุงศรี ระบุ GLOBAL รับรู้ปัจจัยลบของไตรมาสที่อ่อนแอแล้ว ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ (จาก ถือ) และคงราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท รวมถึงประมาณการทั้งหมด ราคาหุ้นของ GLOBAL ปรับตัวลง 48% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน จากประมาณการยอดขายสาขาเดิม (SSS) ที่คาดว่าจะลดลง 7% ใน 1Q25F เราคาดการณ์กำไรหลักใน 1Q25F จะลดลง 14% yoy เป็น 627 ล้านบาท จาก SSS ที่ลดลงอย่างมากเนื่องจากแนวโน้มการบริโภคที่อ่อนแอในประเทศไทย           เราเชื่อว่าปัจจัยลบดังกล่าวได้รับการรับรู้ไปในราคาหุ้นแล้ว ปัจจุบัน GLOBAL ซื้อขายที่ P/E ปี 2025F ที่ 14.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว -1.5SD โดยบริษัทจะประกาศผลประกอบการ 1Q25F ในวันที่ 28 เมษายน 2568 คาดการณ์กำไรหลัก 1Q25F ที่ 627 ล้านบาท ลดลง 14% yoy           เราประมาณการกำไรหลักจะอยู่ที่ 627 ล้านบาท ลดลง 14% yoy แต่เพิ่มขึ้น 26% qoq (จากปัจจัยด้านฤดูกาลในไตรมาส 1) SSS ลดลง 7% จากแนวโน้มการบริโภคที่อ่อนแอในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าวัสดุก่อสร้างสำหรับบ้านใหม่           ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา GLOBAL ได้เปิดสาขาใหม่ 8 แห่ง (สิ้นสุด 1Q25: 91 แห่ง) และด้วยจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ยอดขายรวมลดลงเพียง 3% yoy (เป็น 8.5 พันล้านบาท) ซึ่งน้อยกว่าการลดลงของ SSS           อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น 0.1 จุด (เป็น 25.1%) เนื่องจากการเติบโตของรายได้จากสินค้าเฮาส์แบรนด์ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น 2 จุด yoy (เป็น 26%) ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อรายได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 1.8 จุด yoy (เป็น 18.5%) จากการเปิดสาขาใหม่ 8 แห่งในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา กำไร 2Q25F มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย qoq           เราเชื่อว่า SSS ของ GLOBAL อาจเห็นการปรับตัวขึ้นเล็กน้อยใน 2Q25 หลังจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 แต่ยังคงอยู่ในแดนลบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ           อย่างไรก็ตาม เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการขยายสาขา (เพิ่มขึ้น 7 สาขาในปีนี้เป็น 97 สาขา) ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายและลดผลกระทบเชิงลบจากการลดลงของ SSS ความเสี่ยงสำคัญคือ การฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศไทยที่ช้ากว่าคาด           เราประเมินราคาเป้าหมายที่ P/E ปี 2025F ที่ 18.1 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาว -1SD ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 2025F ที่ 14.5 เท่า เราชอบ GLOBAL จากความเป็นผู้นำในตลาดสินค้าตกแต่งบ้านในต่างจังหวัดซึ่งยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และเชื่อว่า P/E ปี 2025F ที่ -1.5SD ได้สะท้อนปัจจัยลบไปในราคาหุ้นแล้ว

TASCO ฟื้นตัวแรง 298% แนะ

TASCO ฟื้นตัวแรง 298% แนะ "ซื้อ" - เป้า 18 บ.

          หุ้นวิชั่น – ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO ว่า คาดการณ์กำไรปกติ 1Q25 ที่ 428 ล้านบาท ลดลง 16% QoQ แต่ฟื้นตัว 298% YoY ต่ำกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า ว่าจะสามารถเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY หลังถูกกดดันจากปริมาณขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิม โดยกำไรปกติที่ลดลง QoQ เพราะถูกกดดันจาก 1) ปริมาณขายยางมะตอยที่คาดลดลงมา ที่ระดับ 2.9 แสนตัน (-9% QoQ, +32% YoY) แม้เริ่มเข้าสู่ช่วง High Season ของธุรกิจยางมะตอยในประเทศ หลังถูกกดดันจากปริมาณขายในต่างประเทศที่ลดลงตามการเข้าสู่ช่วงวันหยุดตรุษจีนและช่วงรอมฎอน และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นรวมที่คาดลดลงเป็น 11.5% จาก 11.8% ในช่วง 4Q24 ขณะที่ YoY คาดกำไรปกติสามารถเติบโตได้จากฐานที่ต่ำ หลังการเบิกจ่ายงบประมาณทำได้ต่อเนื่อง (ในช่วง 1Q24 การอนุมัติงบประมาณฯ ที่ล่าช้าทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณทำได้ไม่เต็มที่และกดดันปริมาณขายยางมะตอย) และอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวจากระดับ 6.0% ใน 1Q24 (ผลจากสัดส่วนรายได้จากตลาดในประเทศที่ฟื้นตัว)           ทั้งนี้ปรับประมาณการปี 2025-26 ลง หลังอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวช้ากว่าคาด หากกำไรปกติ 1Q25 ออกมาใกล้เคียงคาดจะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 21% ของประมาณการทั้งปี เราจึงปรับประมาณการปี 2025-26 ลง 14% และ 8% เป็น 1,726 ล้านบาท (+5% YoY) และ 1,844 ล้านบาท (+7% YoY) ตามลำดับ เพื่อสะท้อนผลประกอบการที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า หลังอัตรากำไรขั้นต้นยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับ 11.0-13.0% ต่อเนื่อง ตามต้นทุนวัตถุดิบที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการที่บริษัทฯ ยังคงมีสัดส่วนการขายยางมะตอยแบบ Trading (ซื้อมาขายไป) ที่ราว 70-80% ของยอดขายรวม (มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าการขายยางมะตอยจากโรงกลั่น)           แนวโน้ม 2Q25 กลับมาฟื้นตัว QoQ และ YoY ได้อีกครั้ง เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q25 ที่ระดับ 500-600 ล้านบาท กลับมาเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY หลังได้แรงหนุนจาก 1) ปริมาณขายยางมะตอยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวกลับมาที่ระดับ 3.2 แสนตัน แม้เข้าสู่ช่วงวันหยุดสงกรานต์ เพราะปริมาณขายยางมะตอยในต่างประเทศที่ฟื้นตัวหลังผ่านช่วงวันหยุดตรุษจีนและช่วงรอมฎอนจะสามารถชดเชยผลกระทบได้ 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับ 11.5-12.0% ต่อเนื่อง และ 3) การเบิกจ่ายงบประมาณฯ ที่ทำได้ต่อเนื่องตลอดทั้งไตรมาส เทียบกับปีก่อนที่การเบิกจ่ายงบประมาณฯ อย่างต่อเนื่องเริ่มเกิดขึ้นในช่วงกลาง 2Q24 ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 18.00 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”           ผลจากการปรับประมาณการลงและการปรับ PBV ที่ใช้ประเมินมูลค่าลงเป็น 1.7 เท่า (จากเดิมที่ 2.0 เท่า) เพื่อสะท้อนสภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2025 ลดลงเป็น 18.00 บาท/หุ้น มี Upside 25.0% ราคาปัจจุบันให้ Dividend Yield ที่ระดับ 6.3% (อิงสมมติฐานเงินปันผลที่ระดับ 0.90 บาท/หุ้น/ปี) คงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว อย่างไรก็ตามในช่วงสั้นหุ้นมีโอกาสถูกกดดันจากแนวโน้มกำไร 1Q25 ที่ไม่เด่นและการปรับลดประมาณการของตลาด (IAA Consensus คาดกำไรปกติปี 2025 ที่ 2,054 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการของเราราว 19%) เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อยอาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังประกาศงบ 1Q25 ในวันที่ 13 พ.ค.

CENTEL ยอดจองล่วงหน้าโต โบรกปรับราคาเหมาะสมเป็น 34 บ.

CENTEL ยอดจองล่วงหน้าโต โบรกปรับราคาเหมาะสมเป็น 34 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง CENTEL ว่า แนวโน้มกำไร 1Q25 คาดทำได้เพียงทรงตัว YoY           คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 740 ล้านบาท ทรงตัว YoY จากฐานที่สูง โดยคาดกำไรปกติ 1Q25 อยู่ที่ 740 ล้านบาท (+24% QoQ, -1% YoY)           ธุรกิจโรงแรมคาดรายได้ที่ 3.3 พันล้านบาท (+23% QoQ, +11% YoY) จากการคาด RevPar เฉลี่ยทั้งกลุ่มที่ 4.9 พันบาทต่อคืน (+23% QoQ, +3% YoY) โดยเติบโต YoY ในกลุ่มโรงแรมต่างจังหวัด +11% เช่น ภูเก็ต สมุย กระบี่ ที่ไม่ได้พึ่งนักท่องเที่ยวจีน และโรงแรมญี่ปุ่น +8% YoY           ขณะที่มัลดีฟส์ RevPar -41% YoY จากการแข่งขันที่สูง และเป็นช่วงเริ่มต้นของโรงแรมใหม่           คาด GPM ธุรกิจโรงแรมที่ 45.5% (+520bps QoQ, +120bps YoY) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย YoY จากต้นทุนโรงแรมใหม่ โดยคาดค่าใช้จ่ายก่อนการดำเนินงานและขาดทุนช่วงต้นของสองโรงแรมใหม่ราว 45 ล้านบาทใน 1Q25           สำหรับธุรกิจร้านอาหาร (ไม่รวมธุรกิจ JV) คาดรายได้ที่ 3.2 พันล้านบาท (-3% QoQ, +3% YoY) โดยอิง SSSG ที่ +1% YoY ร้านอาหารส่วนใหญ่ยังเติบโตได้ดีที่ 5-7% YoY ยกเว้น KFC ซึ่งมีสัดส่วนรายได้สูงสุด           คาด GPM ธุรกิจอาหารที่ 44.0% (+280bps QoQ, +230bps YoY)           ในด้านต้นทุน คาด SG&A ที่ 2.0 พันล้านบาท (+2% QoQ, +3% YoY) และคาดต้นทุนทางการเงินที่ 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY จากต้นทุนของโรงแรมใหม่ที่มัลดีฟส์ แนวโน้ม 2Q25 ลดลง QoQ แต่เติบโต YoY จากฐานต่ำ           จากข้อมูลของบริษัท พบว่ายอดจองล่วงหน้าช่วง 2Q25 ของกลุ่มโรงแรมในไทยยังเติบโต YoY แต่ไม่เด่นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ +10-15% YoY โดยได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงตั้งแต่เดือนก.พ. และ Sentiment ลบจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งกระทบหลัก ๆ ต่อโรงแรมในกรุงเทพฯ และพัทยา ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนราว 11-15%           ในตลาดต่างประเทศ โรงแรมญี่ปุ่นเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากฤดูกาลท่องเที่ยวและการจัดงาน World Expo (เม.ย.-ต.ค. 2568) ส่วนมัลดีฟส์ยังอ่อนแอทั้ง QoQ และ YoY           ดังนั้น แนวโน้มผลประกอบการ 2Q25 คาดว่ากำไรปกติจะลดลง QoQ แต่เติบโต YoY หนุนจากโรงแรมในญี่ปุ่น และฐานกำไรต่ำจากปีก่อนที่มีการรีโนเวทโรงแรมในพัทยาและภูเก็ต           นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยต่ำกว่าคาด – ปรับประมาณการปี 2025-2026 ลง 4-6%           นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย YTD เติบโตไม่ถึง 1% YoY ต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ +10% YoY โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน -27% YoY จาก ความไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัย การท่องเที่ยวภายในประเทศจีนเอง การแย่งชิงนักท่องเที่ยวจีนจากประเทศอื่นในเอเชีย โดยเฉพาะญี่ปุ่น (+78% YoY และสูงกว่า Pre-COVID-19 ถึง 9%) เราจึงปรับคาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยในปี 2025-2026 ลงเหลือ 36 และ 39 ล้านคน จากเดิมที่คาดไว้ 39 และ 40 ล้านคน ในขณะเดียวกัน ธุรกิจร้านอาหารคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ จึงปรับประมาณการรายได้ลงจาก i) ปรับลด Occupancy Rate และ ADR และ ii) ปรับ SSSG ธุรกิจร้านอาหารลงเป็น +2% YoY จากเดิม +3% YoY ขณะเดียวกัน ปรับเพิ่ม SG&A/Sales ขึ้นปีละ 60-90bps สุทธิแล้ว เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2025 ลง 6% เหลือ 1.9 พันล้านบาท (+9% YoY) และปี 2026 ลง 4% เหลือ 2.2 พันล้านบาท (+12% YoY) แนะนำ “ซื้อ” – ปรับราคาเหมาะสมเป็น 34.00 บาทต่อหุ้น           หลังการปรับประมาณการ เราปรับราคาเหมาะสมเป็น 34.00 บาทต่อหุ้น โดยราคาหุ้นปรับตัวลง 21% ในช่วง 1 เดือน ซึ่งคาดว่าสะท้อนปัจจัยลบเรื่องนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต่ำกว่าคาดไว้พอสมควรแล้ว           ปัจจุบันซื้อขายที่ EV/EBITDA เพียง 8 เท่า เทียบเท่า -2SD ของช่วง Pre-COVID-19           เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินว่าช่วงปลาย 2Q25 หุ้นจะกลับมาน่าสนใจมากขึ้น จาก           มาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่กระตุ้นดีมานด์ในช่วง Low Season           การเปิดสนามบินใหม่ในมัลดีฟส์ ซึ่งจะช่วยรองรับนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น           ความเสี่ยงสำคัญ: จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ำกว่าคาด , เศรษฐกิจโลกถดถอย , การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงในระยะถัดไป

สงครามการค้าลดดีกรี คัด 3 หุ้น ปัจจัยหนุนเด่น

สงครามการค้าลดดีกรี คัด 3 หุ้น ปัจจัยหนุนเด่น

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.ทรีนีตี้ คาด SET Index จะปรับตัวขึ้นได้จากแรงหนุนของหุ้นในกลุ่ม Oil & Gas จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้นกว่า 3% และแรงเก็งกำไรในกลุ่ม Bank ในช่วงประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส ซึ่งล่าสุด BBL ประกาศกำไรดีกว่าตลาดคาดไว้           รวมถึงปัจจัยสงครามการค้าเริ่มมีสัญญาณที่ลดความตึงเครียดลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวแสดงความลังเลใจในการเพิ่มภาษีต่อจีนมากขึ้น เนื่องจากเกรงว่าอาจส่งผลให้การค้าระหว่างสองประเทศชะลอตัวลง พร้อมยืนยันว่าทางการจีนได้ติดต่อมาอย่างต่อเนื่องเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน           และท่าทีของทางจีนที่พร้อมเปิดโต๊ะเจรจา หากสหรัฐฯ ปฏิบัติตามเงื่อนไข 4 ข้อ ได้แก่ แสดงความเคารพและลดถ้อยคำเสียดสีจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ มีจุดยืนที่แน่วแน่และสม่ำเสมอ ให้ความสำคัญกับข้อกังวลด้านความมั่นคงของจีน โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน แต่งตั้งตัวแทนเจรจาที่มีอำนาจเต็มจากประธานาธิบดี Top Pick Daily (Fundamental): BBL, HMPRO, KCG Stock S R Comment BBL 140.00 148.00 กำไร 1Q68 เติบโต 20%YoY HMPRO 8.70 9.20 คาด Margin เติบโตจากสัดส่วนยอดขายสินค้า Low Margin ลดลง KCG 7.90 8.20 KCG Logistic park ช่วยลดค่าใช้จ่าย

MOSHI ยอดขายสาขาเดิม Q1 โต 7-8% จ่อเปิดสาขาใหม่แตะ 40 แห่ง เป้า 56.10 บ.

MOSHI ยอดขายสาขาเดิม Q1 โต 7-8% จ่อเปิดสาขาใหม่แตะ 40 แห่ง เป้า 56.10 บ.

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย คงมุมมองเชิงบวกต่อ MOSHI จาก SSSG ใน 1Q68 เป็นบวก 7-8% จาก feedback ที่ดีจาก merchandise กลุ่ม cartoon characters ใหม่ๆ ที่พัฒนาจากทีม R&D ของบริษัท และได้ประโยชน์จากการร่วม E-receipt เป็นปีแรก ซึ่งผู้บริหารคงเป้าการเติบโตของยอดขายที่ 15-20%               ขณะที่มอง GPM ที่ไม่รวม impact ของ exhibition ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 54.2% ซึ่งหมายถึงจะเห็นการเพิ่มขึ้นโดยรวม ทั้งนี้บริษัทไม่มีแผนการทำธุรกิจ exhibition เพิ่มเติมจากนี้ ประกอบกับแผนการขยายสาขาในปี 2568 ยังคงแผนที่ 40 สาขา โดยแบ่งเป็น สาขาในศูนย์การค้าราว 30 สาขา และอีก 13 สาขาเป็นสาขารูปแบบ Standalone นอกจากนี้เราคาด Moshi มีโอกาสได้รับประโยชน์ทางอ้อมจากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงจากสงครามทางการค้า เนื่องจาก Moshi มีการนำเข้าสินค้าจากจีนราว 60-65% โดยปัจจุบันค่าเงิน CNYTHB อ่อนตัวลงราว 2% ตั้งแต่ต้นปี MOSHI: ราคาพื้นฐาน 56.10 บาท

ADVANC หุ้นปลอดภัย จ่ายปันผล4%-เป้า315บ.

ADVANC หุ้นปลอดภัย จ่ายปันผล4%-เป้า315บ.

               หุ้นวิชั่น - บริษัท หลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึงคำแนะนำหุ้นพื้นฐานแนะนำลงทุน : ADVANC – เป็นหุ้น Defensive…คาดกำไรสุทธิปี 68 ยังเติบโตได้ 5-6% แม้ว่าปี 67 จะเป็นฐานสูง จากรายได้ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และ FBB ที่ขยายตัว ARPU คาดว่าดีและมีเสถียรภาพ บริษัทเล็งหารายได้จากธุรกิจอื่นและสร้าง synergy ในกลุ่ม ระยะกลาง-ยาวมีปัจจัยหนุนจากธุรกิจบริการคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ ฐานะการเงินมั่นคง คาด DY ที่ 4% ต่อปีแนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 315 บาท

UREKA ใจป๋า! เพิ่มทุน RO แจก W3 ฟรี ลุยธุรกิจน้ำ-รีไซเคิล ดันโต

UREKA ใจป๋า! เพิ่มทุน RO แจก W3 ฟรี ลุยธุรกิจน้ำ-รีไซเคิล ดันโต

                  หุ้นวิชั่น - ผู้ถือหุ้น บมจ.ยูเรกา ดีไซน์ (UREKA) พร้อมใจโหวตรับมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวนไม่เกิน 545.68 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในอัตราจัดสรร 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.85 บาท พร้อมจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ UREKA-W3 ฟรี โดยราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 2 บาทต่อหุ้น อายุ  2 ปี เปิดจองซื้อวันที่ 28 เม.ย. - 8 พ.ค.68 นี้ ฟากซีอีโอ "รินทร์ณฐา เอกอัศวภิรมย์" ระบุ รุกขยายธุรกิจผลิตน้ำประปา -ขายน้ำดิบ ผ่านบริษัทย่อย "บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด" สร้างรายได้เพิ่ม เร่งเจรจาปิดดีลธุรกิจสาธารณูปโภคต่อยอดธุรกิจเดิม ผลักดันการเติบโตปีนี้ก้าวกระโดด                   นางสาวรินทร์ณฐา เอกอัศวภิรมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูเรกา ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) (UREKA) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2568 วันที่ 17 เมษายน 2568 มีมติอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 272,828,543 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 454,714,238.50 บาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 727,542,781.50 บาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,091,314,172 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาทต่อหุ้น เพื่อรองรับ (1) การจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) จำนวนไม่เกิน 545,657,086 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ในอัตราจัดสรร 10 หุ้นเดิมต่อ 3 หุ้นสามัญเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 0.85 บาท                   (2) การใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ รุ่นที่ 3 (UREKA-W3) เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ ที่จองซื้อและได้รับจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกและเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (RO) จำนวนไม่เกิน 545,657,086 หุ้นโดยไม่คิดมูลค่า ในอัตรา 3 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 3ใบสำคัญแสดงสิทธิ ราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญ 2 บาทต่อหุ้น มีระยะเวลาการใช้สิทธิ 2 ปี โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) วันที่ 13 มีนาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (Record date) วันที่ 14 มีนาคม 2568 ส่วนวันจองซื้อคือวันที่ 28 เมษายน - 8 พฤษภาคม 2568 “สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะช่วยผลักดันแผนการลงทุนขยายธุรกิจทั้งสาธารณูปโภคและธุรกิจใหม่ที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด” นางสาวรินทร์ณฐา กล่าว                   สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตอย่างโดดเด่นทุกธุรกิจ ทั้งธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล และธุรกิจผลิตน้ำประปาที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จากความต้องการใช้น้ำประปาที่เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งมั่นใจว่าปริมาณน้ำกักเก็บไว้ในบ่อน้ำดิบพื้นที่กว่า 400 ไร่ เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าแน่นอน และด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ที่มี จึงมุ่งหมายสร้างความมั่นคงในการบริหารจัดการน้ำ และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อผนึกกำลังในการรักษาเสถียรภาพและส่งเสริมความยั่งยืนในการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ เสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ในระยะยาว                   ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร UREKA กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2568 ตั้งเป้าเป็นปีแห่งก้าวสู่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน จะเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตน้ำประปา ขายน้ำดิบ ซึ่งมีลูกค้าให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มการรับรู้รายได้ประจำของกิจการจำหน่ายน้ำประปา ผ่านบริษัทย่อย คือ บริษัท โมเดิร์น ซินเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งได้รับสัมปทานประกอบกิจการประปา และได้รับอนุญาตให้จำหน่ายน้ำประปาระยะเวลาสูงสุด 10 ปี ขณะเดียวกันธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิล ซึ่งดำเนินธุรกิจโดย บริษัท เอ.พี.ดับเบิลยู. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (A.P.W.) มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 28,000 ตันต่อปี จะเน้นกลยุทธ์การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรให้อยู่ในระดับสูง รวมถึงรักษากำลังการผลิตไว้ในระดับที่เหมาะสม เพื่อรองรับออเดอร์ทั้งในและต่างประเทศ สร้างฐานรายได้ให้มากขึ้น                   ปัจจุบัน บริษัทฯ มีลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ กีฬา และเครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งยังคงมีสัญญาณดีต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่ม คาดว่าจะได้ผลตอบรับที่ดีโดยเฉพาะลูกค้าในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกขนาดใหญ่ และมีความต้องการเม็ดพลาสติกในปริมาณสูงจะทำให้บริษัทฯ อาจต้องขยายกำลังการผลิตในอนาคต เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มากขึ้น และถือเป็นสัญญาณที่ดีสนับสนุนให้ยอดขายเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด                   นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเข้าลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพื่อต่อยอดธุรกิจเดิม โดยเฉพาะธุรกิจสาธารณูปโภค เนื่องจากมีศักยภาพทางการเงินที่แข็งแกร่ง รองรับการขยายธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนโครงการต่างๆ ภายในครึ่งปีแรกของปีนี้ รวมถึงมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ ทำให้มั่นใจว่าภาพรวมทั้งปี 2568 ผลดำเนินงานจะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมมุ่งมั่นผลักดันให้บริษัทฯ สามารถย้ายจากการเป็นบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า

เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร เช็กเลย!

เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร เช็กเลย!

              หุ้นวิชั่น - บล.เคจีไอ คัด 3 หุ้นเด่น แนะเก็งกำไร ได้แก่ SAWAD* (เป้าพื้นฐาน 39 บาท) ประเมินราคาหุ้นเริ่มสร้างฐานลุ้นฟื้นตัว โดย MACD และ RSI เริ่มฟื้นก่อนราคา ประเมินแนวรับ 28.5 บาท / แนวต้าน 29.5 – 30.25 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 32 บาท (Stop loss 26.5 บาท) ประเมิน Sentiment บวกจากทั้งดอกเบี้ยขาลงและราคารถมือสองฟื้นตัวแรง ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะเป็นขาลงต่อเนื่องในปีนี้ (คาดมีโอกาส ธปท. ลดดอกเบี้ยราว 3 - 4 ครั้ง) และล่าสุดราคารถมือสองในประเทศฟื้นตัวแรง ดัชนีราคารถมือสองเดือน ก.พ. พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 66 (คาดผลขาดทุนรถยึดผ่านจุดที่แย่สุดไปแล้ว) Valuation ถูก Forward PE 8.8 เท่า (-2 SD) PBV 1.3 เท่า (ใกล้ -2 SD ที่ 1.2 เท่า) GULF* (เป้าพื้นฐาน 63 บาท) ประเมินราคาหุ้น Sideway up ลุ้นทำจุดสูงใหม่ (กราฟ 60 นาที) ประเมินแนวรับ 46.25 บาท / แนวต้าน 47.5 – 48.25 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 50.5 บาท (Stop loss 45 บาท) ประเมิน Sentiment บวกทั้งจากธุรกิจโรงไฟฟ้าและธุรกิจ New S-curvei) ธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดได้ Sentiment บวกจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า / โอกาสการนำเข้า LNG ลดต้นทุนii) ธุรกิจ New S-curve อย่าง Virtual Bank ที่มีกระแสข่าวกลุ่มร่วมทุน KTB* GULF* ADVANC* และ OR* ผ่านเกณฑ์ (รอผลทางการเดือน มิ.ย.นี้) ซึ่งเราประเมินว่ากลุ่มร่วมทุนฯ จะได้ประโยชน์จากฐานลูกค้าจำนวนมากทั้งจาก ADVANC* OR* และ KTB* สำหรับการทำธุรกิจ Virtual Bank BTG* (เป้าพื้นฐาน 23.9 บาท) ประเมินราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวหลังพักฐาน แนวรับ 19.5 บาท / แนวต้าน 20.1 – 20.6 บาท กรณีฟื้นตัวผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินแนวต้านถัดไป +/- 21.3 บาท (Stop loss 18.6 บาท) ประเมินแนวโน้มกำไร 1Q68 โตเด่น และลุ้นโตต่อเนื่อง จากราคาเนื้อหมูที่ยังสูงต่อเนื่อง สวนทางกับราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ (ถั่วเหลือง ข้าวโพด) รวมทั้งมีโอกาสที่ภาครัฐจะเปิดทางนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากสหรัฐฯ (คาดว่ารัฐบาลจะมีมาตรการสนับสนุน) Valuation ไม่แพง และราคายัง Laggard กลุ่มฯ Forward PE 9.6 เท่า ขณะที่คาดกำไรปีนี้โตเด่น +60% YoY

CPN ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน เปิดโครงการใหม่หนุนโต 10%

CPN ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน เปิดโครงการใหม่หนุนโต 10%

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่นรายงาน บล.กสิกรไทย ระบุ ราคาหุ้น CPN ขณะนี้ซื้อขายที่ระดับ -2SD หรือ 12.5 เท่าของกำไรปี 2568 เราชอบ CPN ที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ สำหรับค้าปลีก รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยพอร์ตธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงได้ดี ซึ่งส่งผลให้ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและปรับเพิ่มค่าเช่าได้ตลอด CPN ยังสามารถสร้างกระแสเงินสดอิสระได้ดี จะช่วยในการลดหนี้สินลงได้ในอนาคต อีกทั้งแผนธุรกิจสำหรับปี 2568 มีแนวโน้มการเติบโตราว 10% จะมาจากส่วนของการปรับเพิ่มพื้นที่เช่าราว 4-5% โดยรายละเอียดโครงการใหม่ในปีนี้ เช่น โครงการดุสิต ทั้งห้างและออฟฟิศ และ Central Krabi ที่จะเปิดตัวครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 2569 CPN: ราคาพื้นฐาน 78.00 บาท

JPARK บุ๊กยอดที่จอด Q1 แนะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

JPARK บุ๊กยอดที่จอด Q1 แนะ “ซื้อ” เป้า 5.85 บ.

               หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง JPARK ว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 25 เท่ากับ 5.85 บาท Investment Highlight                กำไร 4Q24 เท่ากับ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +47% QoQ และ +7% YoY ผลประกอบการ 4Q24 มีรายได้รวมเท่ากับ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +15% QoQ จากธุรกิจการให้บริการที่จอดรถ (PS) ที่เป็นสัดส่วน 70% ของรายได้ เติบโตตามพื้นที่ให้บริการที่จอดรถเพิ่มขึ้น และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากลานจอดรถในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น บริเวณถนนบรรทัดทอง ตลาดสวนหลวง-สามย่าน แต่หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนรายได้ยังลดลง -7% YoY โดยมีผลมาจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) เนื่องจากงานโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาในช่วงกลางปี 23 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตาม Percentage of Completion (ส่วนท้ายของ S-Curve) สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29% ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 22% และ 23% ใน 4Q23 จาก Margin ของงาน PS ที่ดีขึ้น ส่งผลให้มีกำไร 4Q24 เท่ากับ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +47% QoQ และ +7% YoY โดยกำไรปกติทั้งปี 24 อยู่ที่ 89 ล้านบาท +11% YoY ใกล้เคียงประมาณการของเรา คาดผลประกอบการปี 25 ยังเติบโตต่อเนื่อง                คาดผลประกอบการ 1Q25 มีโอกาสเติบโต QoQ และ YoY เนื่องจากจะเริ่มมีการรับรู้รายได้โครงการอาคารที่จอดรถโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า และพื้นที่ให้เช่าเชิงพาณิชย์อีกกว่า 1 พันตารางเมตร ประกอบกับธุรกิจ PS เริ่มเห็น U-Rate ที่ฟื้นตัวดีขึ้น เราประมาณการรายได้ปี 25 ราว 619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +23% YoY โดยมีแรงหนุนจากการรับรู้รายได้โครงการพระนั่งเกล้าเต็มปีเป็นครั้งแรก และธุรกิจ PS มี 1 โครงการใหม่ที่คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วง 1H25 ทั้งนี้เราคาดกำไรปกติปี 25 เท่ากับ 98 ล้านบาท เติบโต +9.9% YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 25 เท่ากับ 5.85 บาท                ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสมด้วยวิธี P/E Ratio โดยอิงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ของหุ้นที่ทำธุรกิจผู้ให้บริการที่จอดรถที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นและตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ ได้ PER เฉลี่ยที่ 23.4 เท่า ใช้สมมุติฐานกำไรต่อหุ้นปี 25 ที่ 0.25 บาท ได้ราคาเหมาะสมที่ 5.85 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

จับตาเม็ดเงินไหลเข้า คัด 9 หุ้นเด่น มี ESG RATING

จับตาเม็ดเงินไหลเข้า คัด 9 หุ้นเด่น มี ESG RATING

             หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทย มองช่วงเดือน ก.พ. – ปัจจุบัน เม็ดเงินต่างชาติมีการกระจุกตัวอยู่ในตลาดการเงินไทยพอสมควร อาทิ มียอดสะสมTFEX สูงถึง1.06 แสนสัญญา สะสมตราสารหนี้ 6.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการสะสมก่อนมีกองทุน THAIESGX เข้ามา คล้ายกับช่วงก่อนมีเม็ดเงินวายุภักษ์ไหลเข้ามา ในเดือน ก.ค. - ส.ค. 67 ที่มียอด TFEX สะสมสูงถึง2.46 แสนสัญญา สะสมตลาดตราสารหนี้สูงถึง 4.8 หมื่นล้านบาท และหนุน SET ขึ้นแรง 6% ในเดือนถัดมา • หวังว่าเม็ดเงินต่างชาติที่หลบความผันผวนไหลเข้าตลาดการเงินไทยช่วงนี้ น่าจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยมีโอกาส ผันผวนน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แนะนำสะสมหุ้นพื้นฐานดีมี ESG RATING เด่น อย่าง WHA, KCE, SCGP, SCC, TOP, PTTGC, BBL, CPALL, BDMS

KLINIQ โค้งแรกสุดปัง! โกลเบล็กส่องเป้า 36 บ.

KLINIQ โค้งแรกสุดปัง! โกลเบล็กส่องเป้า 36 บ.

                 หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง KLINIQ ว่า "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 36.00 บาท คาดการณ์กำไรงวด 1Q68 เติบโต QoQ , YoY                  คาดการณ์รายได้งวด 1Q68 เติบโต YoY แต่ปรับตัวลงเล็กน้อย QoQ โดยรายได้เติบโต YoY จากการเติบโตของสาขาเดิมและยอดขายสาขาใหม่ ในงวด 1Q68 บริษัทเปิดสาขาใหม่ 1 สาขา แบรนด์ L’Clinic ที่ซีคอน ศรีนครินทร์ ขณะที่คาดรายได้ลดลงเล็กน้อย QoQ เนื่องจากฐานรายได้สูงในงวด 4Q67 จากพฤติกรรมลูกค้าที่ใช้บริการมากในช่วงไตรมาส 4 คาดสมมติฐาน %GPM ใกล้เคียงกับในงวด 4Q67 ที่ระดับ 54.0% เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่เพียง 1 สาขาทำให้ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นมากนัก                  • คงประมาณการณ์กำไรปี 2568 ที่ 418 ลบ. +30% YoY, มาจากคาดรายได้ที่ 3,490 ลบ. +17% YoY จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมและรายได้ของสาขาใหม่ ปี 68 ตั้งเป้าเปิด 10 สาขา จากจำนวน 72 สาขาเมื่อสิ้นปี 67 เพิ่มเป็น 82 สาขาในปี 68 ขณะที่สมมติฐาน %GPM ที่ระดับ 53.4% ปรับตัวขึ้นจากระดับ 51.7% ในปี 67 เนื่องจากปี 67 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา ปิด 3 สาขา การเปิดสาขาจำนวนมากระดับ 20 สาขาทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาเข้ามาก่อนในช่วงแรก ทั้งค่าเช่าที่ ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ รวมถึงค่าบุคลากร เป็นต้น                  • เราประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ Prospective PER ที่ 19x เป็นระดับ -1SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 เท่ากับ 1.90 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 36.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันราว 15% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 5.5% ต่อปี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

CV แจงผิดนัดชำระหุ้นกู้ “CV257A” เร่งแก้นำเงินชำระดอกเบี้ย

CV แจงผิดนัดชำระหุ้นกู้ “CV257A” เร่งแก้นำเงินชำระดอกเบี้ย

                หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัท โคลเวอร์เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CV) ในฐานะผู้ออกหุ้นกู้ “หุ้นกู้ของ บริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2566 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน” หรือ หุ้นกู้รุ่น CV257A มีกำหนดชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้งวดที่ 9 ภายในวันที่ 17 เมษายน 2568 ซึ่งบริษัท ฯ ยังไม่ได้ชำระดอกเบี้ย ภายในกำหนด ทำให้สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ขึ้นเครื่องหมาย Failed to Pay (FP) เนื่องจากเหตุดังกล่าว                 สืบเนื่องจากปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการด้านเอกสารในการรับเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติม เพื่อนำมา ชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้รุ่นดังกล่าว ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภายนอกและเอกสารประกอบสำคัญจาก ต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องขอเลื่อนกำหนดการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้งวดที่ 9 ออกไป จากกำหนดเดิม วันที่ 17 เมษายน 2568 ทั้งนี้ บริษัท ฯ ขอยืนยันว่าจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด และจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือ หุ้นกู้รุ่น CV257A ทันทีเมื่อกระบวนการดังกล่าวแล้วเสร็จ                 อย่างไรก็ตามบริษัทอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบ พร้อมทั้งดำเนินการกำหนดแนวทางเพื่อแก้ไขสถานการณ์ ดังกล่าว ซึ่งหากมีความคืบหน้าทางบริษัทจะรายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป

โกลเบล็ก คาด SET Sideway จัดกลยุทธ์ลงทุนเด็ด - เช็ก!

โกลเบล็ก คาด SET Sideway จัดกลยุทธ์ลงทุนเด็ด - เช็ก!

              หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุว่า วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway ออกข้าง โดยช่วงเช้าดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นหลัก มีแรงกดดันจากประธานเฟดชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนแอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มไอซีทีและพลังงาน ขณะที่ช่วงบ่ายดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยมีแรงซื้อหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,141.28 จุด +2.38 จุด +0.21% มูลค่าการซื้อขาย 29,646 ล้านบาท Program Trading -1,105 ล้านบาท ต่างชาติ -223 ล้านบาท TFEX -16,469 สัญญา ตราสารหนี้ +18,579 ล้านบาท               คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นช่วยพยุงหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,135-1,150 จุด กลยุทธ์การลงทุน • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC • หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra : BBL BEM CPALL PTT TISCO • หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : ANAN ORI NOBLE ITD TIPH TVH • หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : HMPRO GLOBAL DOHOME SCGD TEAMG • หุ้นที่ธปท.กำลังพิจารณาอนุมัติให้ประกอบธุรกิจ Virtual Bank : KTB ADVANC GULF OR SCB

BBL อย่าลืมเช็ก!วันXD ซื้อวันนี้มีปันผล6.50บ.

BBL อย่าลืมเช็ก!วันXD ซื้อวันนี้มีปันผล6.50บ.

           หุ้นวิชั่น - บทวิเคราะห์ บล. ดาโอ ระบุว่า คงคำแนะนำ “ซื้อ” BBL และราคาเป้าหมายที่ 186.00 บาท อิง 2025E PBV ที่ 0.60x (-1.00SD below 10-yr average PBV) โดย BBL ประกาศกำไรสุทธิ 1Q25 อยู่ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% YoY และ +21% QoQ ดีกว่าที่ตลาดคาด +11%และเราคาด +14% เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุนถึง 2.9 พันล้านบาท (คาด 500 ล้านบาท) แต่มีการตั้งสำรองฯที่สูงกว่าคาดมาอยู่ที่ 9.1 พันล้านบาท (คาด 7.9 พันล้านบาท)            ด้าน NIM ต่ำกว่าคาดมาอยู่ที่ 2.91% (เราคาด 3.10%) จากไตรมาสก่อนที่ 3.12% เพราะมี Loan yield ลดลงจากการชำระคืนของ Working capital ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.00% จากไตรมาสก่อนที่ 2.70% ส่วนใหญ่เกิดจาก Relapse NPL ในกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตและกลุ่มการค้า ทั้งนี้จากความกังวลเรื่องนโยบายใหม่ของรัฐบาลอินโดฯ ทาง BBL ไม่ได้กังวลต่อธนาคาร Permata มากนักเพราะมี Coverage ratio ในระดับสูงราว 350% ซึ่งสามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกมาก กำไรสุทธิ 1Q25 คิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี เพราะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุน แต่เป็นรายการที่คาดการณ์ได้ยาก ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025E อยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +3% YoY จากสำรองฯที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่เราคาดว่ากำไรสุทธิ 2Q25E จะเพิ่มขึ้น YoY จากสำรองฯที่ลดลง แต่จะลดลง QoQ เพราะฐานกำไรจากเงินลงทุนที่สูง             ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น +3% และ +12% ในช่วง 1 เดือน และ 3 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET จากกำไรที่ดีกว่าคาด และใกล้ประกาศจ่ายเงินปันผล โดยจะ XD วันที่ 23 เม.ย. 25 ที่ 6.50 บาท ประกอบกับ BBL ยังคงมีความแข็งแกร่งทางด้านการเงินที่รองรับความเสี่ยงได้ดีกว่าคู่แข่ง เพราะมี coverage ratio สูงที่สุดในกลุ่มที่ 300% ด้าน Valuation เทรดที่ PBV ถูกที่สุดในกลุ่มเพียง 0.53x หรือที่ระดับ -1.25SD ย้อนหลัง 10 ปี และถูกกว่ากลุ่มที่เทรดที่ PBV ที่ 0.68x

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.25-33.45 บ./ดอลลาร์

SCB คาดค่าเงินบาทวันนี้ กรอบ 33.25-33.45 บ./ดอลลาร์

           หุ้นวิชั่น - กลุ่มงานตลาดการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 33.25-33.45 บาท/ดอลลาร์ เงินบาทอ่อนค่าวานนี้ตามราคาทองที่ลดลงและดัชนีเงินดอลลาร์ที่ทรงตัวในระดับต่ำ ด้านธนาคารกลางยุโรปลดดอกเบี้ย 25 bps มาอยู่ที่ 25% ตามคาด ส่งผลให้ Government Bond yields ของยุโรปลดลง เงินยูโรอ่อนค่าเล็กน้อย นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าไม่อยากขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติม เพราะกลัวการจับจ่ายใช้สอยจะหยุดชะงัก ด้านเงินเฟ้อญี่ปุ่นเร่งตัวมาอยู่ที่ 2% ธปท. มองว่านโยบาย Tariffs ทำให้การลงทุนและการผลิตชะลอลง นโยบายการเงินช่วยได้บ้างแต่ไม่ตรงจุด

ตลท.ขึ้น CB หุ้น CV หลังผิดนัดชำระหนี้ ยังติด SP ไม่ส่งงบปี 67

ตลท.ขึ้น CB หุ้น CV หลังผิดนัดชำระหนี้ ยังติด SP ไม่ส่งงบปี 67

             หุ้นวิชั่น - ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นเครื่องหมาย CBบริษัท โคลเวอร์ เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (CV) โดยเหตุผลการขึ้น CB คือบริษัท/บริษัทย่อย/กองทุนผิดนัดชำระหนี้ตามเกณฑ์ที่กำหนด วันที่ขึ้นเครื่องหมาย 21 เม.ย. 2568 ข้อมูลการดำเนินการ : - หลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมายข้างต้น จะต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance (คือ สมาชิกต้องดำเนินการให้ลูกค้า วางเงินสดไว้ล่วงหน้ากับสมาชิกเต็มจำนวนก่อนซื้อหลักทรัพย์นั้น)ตั้งแต่วันที่ขึ้นเครื่องหมายเป็นต้นไป จนกว่าจะแก้เหตุดังกล่าวได้ หมายเหตุ ปัจจุบัน CV เป็นหลักทรัพย์ที่ถูกขึ้นเครื่องหมาย SP เนื่องจากไม่นำส่งงบการเงินปี 67

BBL กำไร Q1/68 ดีกว่าคาด - Valuation น่าสน เคาะเป้า 180 บ.

BBL กำไร Q1/68 ดีกว่าคาด - Valuation น่าสน เคาะเป้า 180 บ.

               หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้น BBL  โดยกำไรสุทธิ 1Q68 ที่ 1.26 หมื่นล้านบาท (+21% QoQ เพราะ Non-NII เพิ่ม และ OPEXลดตามฤดูกาล, +20% YoY จาก Non-NII) ดีกว่าฝ่ายวิจัยและ BB Consensus คาดราว 11% จาก Non-NII ในส่วนของกำไรจากเงินลงทุนผ่านการขายตราสารหนี้ • NIM ที่ 2.8% อ่อนตัวจาก 3.0% งวด 1Q67 และ 4Q67 ตามการลดดอกเบี้ยนโยบาย • NPL / Loan ที่ 3.6% เพิ่มจาก 3.2% ณ สิ้นงวดก่อน จากกลุ่มที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่ Coverage ratio ลงมาที่ 300% เทียบกับ 334% ณ สิ้นงวดก่อน • ฝ่ายวิจัยมองกลางต่องบ 1Q68 แม้กำไรดีกว่าคาด แต่ NPL ปรับขึ้น โดยการปรับขึ้น ของระดับ NPL ยังไม่ได้ยากเกินบริหารจัดการ (3Q67 เคยสูงถึง 3.9%) และเป็นไปในรูปแบบเดียวกับปีก่อน (ขึ้น 1Q-3Q และกลับมาลง 4Q) ซึ่งกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ทาง BBL ไม่ได้มีการกลับสำรอง ทำให้ความจำเป็นในการตั้ง ECL ไม่ได้ เพิ่มมากนัก แม้ NPL จะปรับขึ้นก็ตาม • คงประมาณการ หลังกำไรสุทธิ 1Q68 คิดเป็นสัดส่วน 28% ของประมาณการฝ่ายวิจัย(1Q67 คิดเป็นสัดส่วน 23% ของกำไรสุทธิปี 2567) และ BB Consensus น่าจะพอรองรับแนวโน้ม NII ระยะถัดไป ซึ่งมีแรงกดดันจากโอกาสในการลดดอกเบี้ยของ กนง. • การปรับขึ้นของ NPL อาจส่งผลลบต่อราคาหุ้น แต่ในเชิง PBV ไม่แพงที่ 0.48 เท่า และคาด Div Yield ราว 5.8% ต่อปี ในมุม Valuation น่าสนใจ ประกอบกับมองว่าเงินปันผล ต่อหุ้นประคองตัวได้ แม้กำลังเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงก็ตาม คงแนะนำ Outperform ให้ราคาเป้าหมาย 180.00 บ. 

ส่งออกสิงคโปร์โตแรง 15.7% อิเล็กทรอนิกส์นำทีม

ส่งออกสิงคโปร์โตแรง 15.7% อิเล็กทรอนิกส์นำทีม

             หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) ระบุว่า สิงคโปร์รายงานยอดส่งออกรวม (ไม่รวมน้ำมัน) เดือนมีนาคม 2568 ขยายตัว +5.4%y-y เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +15.7%y-y ขณะที่ยอดส่งออกในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวโดดเด่นที่ +11.9%y-y จากเดิม +6.9%y-y              KSS ประเมินว่า ยอดส่งออกของสิงคโปร์มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับยอดส่งออกของไทยจากสถิติในอดีต จึงคาดการณ์ในเชิงบวกว่า ยอดส่งออกของไทยในเดือนมีนาคม ซึ่งจะประกาศระหว่างวันที่ 21 – 26 เมษายนนี้ มีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องตามที่ Consensus คาดไว้ที่ +10.7% ยอดส่งออกในกลุ่มชิ้นส่วนของไทยมีแนวโน้มออกมาดี ตามการเติบโตของฝั่งสิงคโปร์ที่โดดเด่น มุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มชิ้นส่วนไทย โดยประเมินว่ากลุ่มนี้ได้ตอบรับข่าวลบจากมาตรการภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ไปแล้วในช่วงก่อนหน้า อีกทั้งราคาหุ้นหลายบริษัทในกลุ่มนี้เริ่มตั้งฐานได้และมีแรงซื้อกลับตลอดสัปดาห์ เช่น HANA +13.4%wtd, KCE +7%wtd              กลยุทธ์การลงทุน: แนะนำเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ DELTA, KCE และ HANA

KSS คาด SET วันนี้ Sideways - Up รับแรงหนุน ECB ลดดอกเบี้ย

KSS คาด SET วันนี้ Sideways - Up รับแรงหนุน ECB ลดดอกเบี้ย

หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) (KSS) คาดว่า SET วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ “Sideways/Up” โดยมีแนวต้านที่ 1,147 และ 1,155 จุด ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 1,137 และ 1,132 จุด ปัจจัยบวกสำคัญที่ช่วยหนุนตลาดได้แก่ ความคืบหน้าในการประคองเศรษฐกิจของประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก Trade Tariff โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายการเงินของ ECB ที่ประกาศลดดอกเบี้ย Deposit Facility Rate ลง 25bps สู่ระดับ 2.5% ส่วนในไทย นักลงทุนเริ่มเก็งภาพการผ่อนคลายนโยบายการเงินผ่านการเร่งซื้อพันธบัตรเพิ่มเติม 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 9 พฤษภาคม 2566                   นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อพัฒนาการด้าน Trade Tariff ระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เปิดช่องสำหรับการเจรจา รวมถึงกำหนดการเจรจาระหว่างไทยและผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เมษายนนี้ ซึ่งมีโอกาสช่วยลดผลกระทบด้านภาษีต่อภาคการส่งออกของไทย และอาจนำไปสู่การผลักดันแผนลงทุนใน New S-Curve เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว                   อีกหนึ่งปัจจัยบวกคือ ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.35% จากการลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC ในปี 2026F เพื่อชดเชยปริมาณการผลิตเกินโควต้าก่อนหน้า ร่วมกับสหรัฐฯ ที่กลับมากดดันการส่งออกน้ำมันของอิหร่าน ส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ                   ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าจะมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มพลังงานต้นน้ำ, หุ้นที่ได้ประโยชน์จากทิศทางดอกเบี้ยขาลง, หุ้นกลุ่ม China Plays และหุ้นกลุ่มสื่อสารที่เก็งความคืบหน้าเรื่องเกณฑ์ประมูลคลื่นความถี่ สำหรับหุ้นเด่นที่แนะนำในวันนี้ ได้แก่ ADVANC, CPF และ IVL                   US Stock: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง โดยดัชนี Dow Jones -1.33% d-d หลัก ๆ ถูกกดดันจากการปรับตัวลงแรงของหุ้นบางตัว เช่น UnitedHealth ที่ร่วง -22.38% ขณะที่ดัชนี Nasdaq -0.13% d-d และ S&P 500 ปรับขึ้นเล็กน้อย +0.13% โดยกลุ่ม Sector หลักที่หนุนดัชนี S&P 500 ได้แก่ Energy, Consumer Staples, Real Estate และ Utilities ขณะที่กลุ่มที่ถ่วงตลาดคือ IT, Health Care และ ICT                   หุ้นรายตัวที่เคลื่อนไหวโดดเด่น ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ โดย UnitedHealth ร่วงแรง -22.38% หลังเปิดเผยผลประกอบการ 1Q25 ที่ต่ำกว่าคาด พร้อมปรับลดคาดการณ์กำไรปี 2025 เนื่องจากคาดว่าต้นทุนทางการแพทย์จะปรับตัวสูงขึ้น หุ้นอื่นในกลุ่มเดียวกันอย่าง Humana -7.4% และ CVS Health -1.84% ก็ปรับตัวลงเช่นกัน ขณะที่ Nvidia ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงต่อเนื่อง -2.9% จากประเด็นรัฐบาลสหรัฐฯ จำกัดการส่งออกชิป AI รุ่น H20 ไปยังจีน ส่งผลให้บริษัทต้องบันทึกค่าใช้จ่ายสูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์                   ในทางตรงข้าม กลุ่มที่ปรับขึ้นได้แก่ Eli Lilly +14.36% หลังเปิดเผยผลการทดลองยาที่แสดงให้เห็นว่าสามารถลดน้ำหนักและระดับน้ำตาลในเลือดได้เทียบเท่ากับยา Ozempic ซึ่งเป็นยารักษาเบาหวานที่มียอดขายสูง ขณะที่หุ้นค้าปลีกอย่าง KSS ประเมินว่าการปรับลงของ Dow Jones จะมีผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นเอเชียและ SET Index ในกรอบจำกัด                   US Econ: ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดชี้ให้เห็นถึงสัญญาณชะลอตัว โดยยอดการเริ่มต้นสร้างบ้านในเดือนมีนาคมลดลง -11.4% m-m เหลือ 1.324 ล้านหลัง ต่ำกว่าคาดที่ 1.420 ล้านหลัง โดยมีสาเหตุหลักจากราคาวัสดุก่อสร้างที่แพงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจเริ่มได้รับผลกระทบ ขณะเดียวกัน ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 9,000 ราย เหลือ 215,000 ราย ดีกว่าคาดที่ 225,000 ราย ใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ที่ 220,000 ราย สะท้อนภาพภาคแรงงานยังประคองตัวได้แบบ Soft Landing โดยหากตัวเลขดังกล่าวพุ่งขึ้นเกิน 400,000 ราย จะเริ่มสะท้อนความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Hard Landing                   ECB Meeting: การประชุม ECB ล่าสุดเป็นไปตามคาด โดยมีมติเอกฉันท์ปรับลด Deposit Facility Rate ลง 25bps สู่ระดับ 2.25% ซึ่ง KSS มองว่าเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและกำลังซื้อของกลุ่มประเทศยุโรป และถือเป็นจิตวิทยาบวกต่อหุ้นที่มีธุรกิจในยุโรป เช่น XO, MINT, SHR และ IVL

CIMBTกำไร Q1โต33.9%แตะ 838 ลบ. คุมค่าใช้จ่ายลดลง– รายได้โตดี

CIMBTกำไร Q1โต33.9%แตะ 838 ลบ. คุมค่าใช้จ่ายลดลง– รายได้โตดี

               หุ้นวิชั่น - ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33.9% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แม้รายได้ดอกเบี้ยลดลง แต่ชดเชยด้วยรายได้ค่าธรรมเนียม-การบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น ด้าน NPL เพิ่มเล็กน้อยจาก 2.6% เป็น 2.8% แต่ยังคงสำรองเกินเกณฑ์แบงก์ชาติ พร้อมโชว์ฐานเงินกองทุนแข็งแกร่งที่ระดับ 21.4%                ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ CIMBT รายงานผลประกอบการ การดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีกำไรสุทธิจำนวน 838.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 212.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.9 เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2567 สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.2 และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงร้อยละ 22.1 ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.2                รายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดสามเดือนปี 2568 มีจำนวน 3,583.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 77.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 2.2 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2567 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการดำเนินงานอื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 134.3 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.1 สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรสุทธิจากการขายเงินลงทุนสุทธิกับการลดลงของกำไรสุทธิจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพ รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 62.0 ล้านบาท หรือร้อยละ 20.7เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมและบริการ รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจำนวน 118.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 5.1 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน                ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนปี 2568 เปรียบเทียบกบงวดเดี๋ยวกันปี 2567 ลดลงจำนวน 485.3 ล้านบาทหรือร้อยละ 22.1 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ทำให้อัตราส่วน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 47.6ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 62.5                อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net lInterest Margin - NIM) สำหรับงวดสามเดือนปี 2568อยู่ที่ร้อยละ 2.0 ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและเงินลงทุน                วันที่ 31 มีนาคม 2568 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่น และเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 246.3 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับเงินให้ สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 310.5 พันล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.2 จากสิ้นปี 2567 ซึ่งมีจำนวน 324.0 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อ ต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 79.3 จากร้อยละ 77.6 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 6.9 พันล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ ร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 อยู่ที่ร้อยละ 2.6 เป็นผลจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในปี 2567 อย่างไรก็ตาม ธนาคารซีไอเอ็มบีไทยยังคงมาตรฐานการอนุมัติสินเชื่อ และนโยบายการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุมขึ้น ตลอดจนได้มีแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพการติดตามหนี้ การดำเนินการดูแลและการแก้ไขลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบ ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด                อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 อยู่ที่ร้อยละ 134.3 ลดลงจากสิ้นปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 137.9 ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 9.1 พ้นล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1.5 พันล้านบาท เงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีจำนวน 59.7 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วน เงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 21.4 โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ร้อยละ 16.7

7 หุ้นพระกาฬ สู้ศึกการค้า

7 หุ้นพระกาฬ สู้ศึกการค้า

          หุ้นวิชั่น- สงครามการค้าในเวทีโลก มีการปรับเปลี่ยนผันแปรในรายวัน ยังหาจุดที่ชัดเจนไม่ได้ และคาดว่าสถานการณ์คงยืดเยื้อกันต่อไป ตลาดหุ้นจึงเป็นของนักลงทุนที่กล้ารับความเสี่ยงสูงเท่านั้น              หลังจากที่ นักลงทุนมีการกระจายเงินลงทุนออกจากสหรัฐฯ มาในตลาดการเงินภูมิภาค รวมถึงตลาดการเงินไทยมากขึ้นสะท้อนได้จากวันที่ทรัมป์ประกาศตอบโต้ภาษี 185 ประเทศถึงปัจจุบัน (9 – 16 เม.ย. 68) กลับมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ไทย 3 ใน 4 วันทำการสูงถึง 1.46 หมื่นล้านบาท, เข้าตลาดหุ้น 3 ใน 4 วันทำการ 883 ล้านบาท  และเข้าตลาด TFEX 3 ใน 4 วันทำการ 30,854 สัญญา           กลยุทธ์การลงทุน เก็งกำไรหุ้นพื้นฐานดีที่มีเม็ดเงินต่างชาติซื้อหนุนต่อเนื่องตั้งแต่วันที่มีประเด็นทรัมป์ตอบโต้ ภาษี (9 –16 เม.ย. 68) อย่างเช่น 10 หลักทรัพย์ดังนี้  CPF- PTTGC -CPALL -STA -DELTA -TTB, TIDLOR – CRC – MINT - BGRIM (ที่มา บล.เอเซียพลัส)           ขณะที่ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มองว่า หุ้น SET100 ที่คาดเป็นเป้าหมายกองทุน โดย 1) ปี 2568 คาดกำไรเติบโต YoY 2) มีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยสูง 3) ซื้อขายที่ PER และ PBV 2568F ระดับต่ำกว่า -1SD 4) คาดให้ Div. Yield อย่างน้อยปีละ 2% และ 5) มี SET ESG Ratings ระดับ A-AAA แนะนำ MTC- MINT- BJC- CPF           ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไรภายใต้สงครามการค้าที่มีท่าทีรุนแรงขึ้น แนะนำ หุ้นที่มีรายได้ภายในประเทศเป็นหลักซึ่งจะต้านทานความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ดีกว่า โดยเฉพาะหากสามารถกำหนดราคาและส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งคาดจะได้ประโยชน์จากการปรับลงของราคาน้ำมันและดอกเบี้ย            ได้แก่ 7 หุ้นดังต่อไปนี้  BCH- CPALL- CPAXT- GULF- MTC- OR และ TRUE ขณะที่แนะนำหลีกเลี่ยงกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางตรงจากส่งออกไปสหรัฐ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ยาง สินค้าเกษตร เครื่องประดับ และกลุ่มที่ได้ผลกระทบทางอ้อม ได้แก่ นิคม ท่องเที่ยว ธนาคาร           ส่วนบล.กรุงศรี ระบุว่า ความคืบหน้าเรื่องแนวทางรับมือมาตรการกีดกันการค้าที่มี เพิ่มเติมในส่วนของไทย นั่นคือ การหารือระหว่างกระทรวงการคลังกับ BOT ต่อความเสี่ยง  เน้นไปที่หากผลกระทบมาตรการภาษีเริ่มเกิดขึ้น และกระทบหลายฝ่ายต้องหยุดชะงักชั่วคราว สถานการณ์การปล่อยสินเชื่อมีแนวโน้มจะผ่อนคลายมากขึ้นได้อย่างไร แต่ในส่วนการนำเงินสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ไม่มีอยู่ในแนวทาง           คาดว่าน่าจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ – การผ่อนคลายนโยบายการเงิน หากผลกระทบ Trade Tariff สูง ประเมินจิตวิทยา บวกต่อ SET และหุ้นได้ประโยชน์ TH Bond Yield ลดลงต่อเนื่อง อาทิ โรงไฟฟ้า เน้น GULF เช่าซื้อ เน้น MTC - JMT High Yield เน้น ADVANC หนี้สูง เน้น MINT TRUE           หัวข้อที่ กระทรวงการคลังหารือผู้ประกอบการในประเทศถึงแนวทางนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม อาทิ ก๊าซธรรมชาติ (PTT) ข้าวโพด อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป และอาหารสัตว์ ก่อนเดินทางไปสหรัฐฯ ประเมินแนวทางดังกล่าวจิตวิทยาบวก โดยหากใช้ก๊าซแทน Spot LNG เดิมใน Pool gas จะบวกต่อ กลุ่มโรงไฟฟ้า GULF GPSC กลุ่มปิโตรเคมี PTTGC และเกษตร ฝั่ง CPF           มาที่ บล. ดาโอ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” CBG คง ราคาเป้าหมายที่ 95 บาท คาดกำไรสุทธิ ไตรมาศแรก ปี2568  ที่ 792 ล้านบาท (+26% YoY, +1% QoQ) สูงสุดในรอบ 15 ไตรมาส ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์เดิม กำไรขยายตัว YoY จาก รายได้รวมขยายตัว +9% YoY จาก Domestic branded own ปรับตัวเพิ่มขึ้น +32% YoY, Distribution business +13% YoY ช่วยชดเชยรายได้ต่างประเทศที่ลดลง -12% YoY, 2) GPM ขยายตัวเป็น 28.1% จาก 26.8% จากต้นทุนน้ำตาล,เศษแก้ว และอลูมิเนียมที่ปรับตัวลดลง ด้านกำไรขยายตัว QoQ จาก GPM ขยายตัว และ SG&A expenses ลดลง เนื่องจาก 4Q24 มีค่าใช้จ่ายโบนัสพิเศษ แม้รายได้ที่ลดลง -10% QoQ           คาดกำไรปี 2528  ที่ 3,525 ล้านบาท (+24% YoY กำไร 2Q25E จะขยายตัวต่อ YoY, QoQ จากรายได้ทั้งไทยและต่างประเทศขยายตัว YoY, QoQ, GPM ขยายตัว จากการรับรู้น้ำตาลที่ลดลงเต็มไตรมาส เริ่มรับรู้ขวดแก้ว และกระป๋องที่บางลงตามแผน cost saving ของบริษัท           วกมาที่ บล.พาย ระบุ CPALL มี แนวโน้ม SSSG มีทิศทางแข็งแกร่งกว่ากลุ่มต่อเนื่อง คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 6.5 พันล้านบาท (+8%YoY, -6%QoQ) หนุนจากยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 ที่คาดเติบโต 2% YoY จากยอดขายกลุ่มอาหารพร้อมทานและ Personal Care ที่เติบโตดี รวมกับการเติบโตของกำไรของ CPAXT จากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Makro +0.5% และ Lotus’s +0.5%) ขณะที่เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2Q25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของยอดขาย Ready-to-eat และ Ready-to-drinks  เคาะ CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท           CPF ปัจจัยบวกจากผลประกอบการงวด 1Q25 ที่คาดว่าจะสูงถึงระดับ 7,078 ล้านบาท (+514%YoY,+70%QoQ) จากผลดีของราคาเนื้อสุกรที่ไทยและเวียดนามที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากผลกระทบของโรคระบาดที่เกิดขึ้น ซึ่งผลดีดังกล่าวยังคงเห็นต่อเนื่องมาถึงช่วง 2Q25 นี้ ขณะที่ผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เบื้องต้นทาง CPF มีการขายไปยังสหรัฐฯ ไม่มากนัก มีสัดส่วนไม่ถึง 2% ของรายได้รวม  เคาะราคาพื้นฐาน CPF ที่ 30.50 บาท การลงทุน มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน ควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ ลงทุน ข่าวหัวม่วง และทีมงานหุ้นวิชั่น  

[Vision Exclusive] MOTHER ปลุกค้าปลีกแดนใต้  กระบี่ฮอต! ติดชาร์ตเมืองทำเงิน

[Vision Exclusive] MOTHER ปลุกค้าปลีกแดนใต้ กระบี่ฮอต! ติดชาร์ตเมืองทำเงิน

          หุ้นวิชั่น - “MOTHER” เร่งสปีดโตไม่หยุด! บอสใหญ่ "เอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ " สั่งลุยขยายสาขาใหม่ 3 แห่ง รับท่องเที่ยวคึกคัก ปักหมุดทำเลทอง “เกาะลันตา-เหนือคลอง” อัพยอด ชี้กระบี่ฮอตติดชาร์ตเมืองทำเงินอันดับ 6 ประเทศ ดันค้าปลีกโตสนั่น ลุ้นผลงานโค้งแรกทำนิวไฮ นักท่องเที่ยวใช้จ่ายเต็มแม็ก           นายเอกพงศ์ โชคชัยวิทัศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาเธอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MOTHER ผู้นำธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ภายใต้แบรนด์ “Mother Supermarket” และ “Mother Marche” ในจังหวัดกระบี่ พังงา และสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง ตั้งอยู่ในจังหวัดกระบี่และสุราษฎร์ธานี เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า ทิศทางการจำหน่ายสินค้าในช่วงไตรมาส 1/2568 ถือว่าน่าพอใจอย่างมาก และผลประกอบการมีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ได้ โดยปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตดังกล่าว มาจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2568 ส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคในพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน           บริษัทเตรียมเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2568 บริษัทวางแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติมอีก 3 แห่ง จากปัจจุบันมีสาขาจำนวน 20 สาขา ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2, ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ตามลำดับ ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้เจรจาและเตรียมความพร้อมในเรื่องของพื้นที่สำหรับการขยายสาขาแล้วจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ พื้นที่บริเวณเกาะลันตา และอำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพที่มีการเติบโตของกำลังซื้อและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง           บริษัทพร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับจุดแข็งของบริษัทที่ตั้งอยู่ในทำเลแหล่งท่องเที่ยว โดยเฉพาะจังหวัดกระบี่ จังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวไทยและต่างชาติ มีชื่อเสียงระดับโลก และมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นทุกปี โดยปี 2567 จังหวัดกระบี่ สามารถทำรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุดเป็นอันดับที่ 6 ของประเทศ มีรายได้มากถึง 91,042 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อยู่ที่  17,245 บาท และค่าเฉลี่ยต่อคนต่อทริปของนักท่องเที่ยวชาวไทย อยู่ที่ 11,497 บาท นับเป็นผลดีต่อบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] TISCO กำไร Q1 ตามคาด จับตาแจ้งงบ “TTB-KTB”

[Vision Exclusive] TISCO กำไร Q1 ตามคาด จับตาแจ้งงบ “TTB-KTB”

          หุ้นวิชั่น - TISCO รายงานกำไรไตรมาส 1/2568 ตามโบรกคาด ที่ 1,643.38 ล้านบาท ลดลง 89.64 ล้านบาท หรือ -5.2% แรงกดดันด้านดอกเบี้ยและการตั้งสำรองฯ โบรกฯ มอง จุดเด่นสำคัญอยู่ที่จ่ายเงินปันผลที่สูง ปีนี้อยู่ที่ 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 7.8% พร้อมจับตา TTB-KTB จ่อคิวประกาศต่อ นักวิคราะห์ส่วนใหญ่คาดกำไรโตทั้ง YoY และ QoQ รับปัจจัยบวกจากการตั้งสำรองฯ ที่ลดลงและการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้น TTB คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 จะเติบโตที่ 5,539 ลบ.เพิ่มขึ้น 8% จาก Q-Q ส่วน KTB คาดที่ 11,024 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จาก Q-Q           บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ 1,643.38 ล้านบาท ลดลงจำนวน 89.64 ล้านบาท หรือ -5.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 (YoY) และลดลงจำนวน 58.43 ล้านบาท หรือ -3.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) เป็นไปตามที่ตลาดคาการณ์ โดยการลดลง YoY มีสาเหตุจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ลดลง 2% ผลจากการปรับลด ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางใน โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ประกอบกับสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.7% ของยอดสินเชื่อ เฉลี่ย เพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อที่มีผลตอบแทนสูง           ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 3.4% จากการเติบโตของ รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ 10.3% รายได้ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 3.3% จากการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของ บล.ทิสโก้ และกำไรจากเงินลงทุนที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) ที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากตลาดรถยนต์ในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ส่งผลให้รายได้ ค่าธรรมเนียมนายหน้าประกันภัยยังไม่ฟื้นตัว ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 0.9% จากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมี ประสิทธิภาพ           เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 กำไรสุทธิของบริษัทลดลง เป็นผลมาจากรายได้รวมที่อ่อนตัวลง 2.5% และค่าใช้จ่ายสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นจาก 0.6% มาเป็น 0.7% ของสินเชื่อเฉลี่ย โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 2.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ย นโยบาย และการลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ลูกหนี้ในโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยชะลอตัวลง 3.3% จากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากธุรกิจนายหน้าประกันภัยอ่อนตัวลงตามฤดูกาลและผลจากยอดขายรถยนต์ที่ยังคงอ่อนแออีกทั้ง บริษัทมีการรับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการของธุรกิจจัดการกองทุน (Performance Fee) ไปในไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ดีธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนปรับตัวดีขึ้น ทั้งธรุกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และกำไรจากพอร์ตเงินลงทุน กำไร Q1/68 ตามคาดที่ 1.6 พันลบ.-ทั้งปีโอกาสหดตัว แต่ปันผลเด่น           บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ได้มีการคาดการณ์งบของ TISCO จะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 1/2568 ที่ราว 1,600 ล้านบาท ลดลง 6% เทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) และ 8% เมื่อทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) จากแรงกดดันหลักด้านค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงคุณภาพหนี้ที่อ่อนแอลงภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย และการขยายพอร์ตสินเชื่อไปยังกลุ่ม High Yield มากขึ้น           ขณะที่สินเชื่อโดยรวมมีแนวโน้มทรงตัวจากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีแนวโน้มอ่อนตัวตามฤดูกาล โดยยังคงประมาณการกำไรปี 2568 ว่าจะชะลอตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจุดเด่นสำคัญยังอยู่ที่อัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง โดยคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 104 บาท อิง PBV 1.82 เท่า แม้ Upside จะค่อนข้างจำกัดจากแนวโน้มผลประกอบการในระยะสั้น แต่คาดว่า TISCO จะยังคงจ่ายปันผลปีนี้อยู่ที่ 7.75 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 7.8% ต่อปี โดยในครึ่งปีหลังของปี 2567 จะมีการจ่ายปันผลอีก 5.75 บาท (XD 28 เม.ย. 68) คิดเป็น Residual Dividend Yield ประมาณ 5.8%           จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากจุดเด่นด้านผลตอบแทนปันผลที่น่าสนใจ           สอดคล้องกับ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ที่ได้คาดการณ์ว่า TISCO จะรายงานกำไรในงวดไตรมาส 1/2568 เฉลี่ย 1,609 ล้านบาท (-7% YoY, -5% QoQ) จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า, ยอดขายรถยนต์ในประเทศหดตัว และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 2568 อาจเหลือ 5.3 แสนคัน หดตัว 7.5% YoY จากปัญหาเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อการปล่อยสินเชื่อที่มีอยู่เดิม รวมถึงปัญหาใหม่ทั้งแผ่นดินไหวและการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบรายได้หลักของไทย           ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 TISCO มีสินเชื่อสุทธิคงค้าง 2.26 แสนล้านบาท (+0.18% YTD) พลิกจากหดตัว 1.1% YoY ณ ปลายปี 2567 จากการเติบโตของสินเชื่อในทุกกลุ่มธุรกิจต่อเนื่องจากไตรมาส 4/2567 โดยสินเชื่อสุทธิ +0.5% MoM, -0.6% YoY           ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเป็นกลางต่อผลการดำเนินงานในปีนี้ที่มีโอกาสหดตัวเล็กน้อย จาก Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 2568 เฉลี่ย 6.6 พันล้านบาท (-5% YoY) ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขายที่ระดับ PBV 1.84x สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 0.64x นอกจากนี้ IAA consensus คาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 8% ต่อปี ซึ่งอยู่ในระดับสูงและน่าสนใจถือลงทุนระยะยาวเพื่อรอรับเงินปันผล โดยบริษัทประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 2567 หุ้นละ 5.75 บาท yield 5.8% XD 25 เมษายนนี้ วันจ่าย 16 พฤษภาคม 2568 แนะนำ “ถือ” เกาะติดงบ TTB-KTB ประกาศงบพรุ่งนี้ โบรกฯ คาดกำไรสุทธิโต QoQ-YoY           นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า คาดธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) (TTB) จะรายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 1/2568 เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 (QoQ) และช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แม้สินชื่อลดลงต่อเนื่อง จากความต้องการในประเทศที่ลดลง แต่มีปัจจัยหนุนจากการตั้งสำรองฯ ลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่มีการตั้งสำรองฯ พิเศษ หรือค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และแนวโน้มสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ก็ลดลงต่อเนื่องด้วย ทำให้คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 จะเติบโตที่ 5,539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่อยู่ที่ระดับ 5,112 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 5,334 ล้านบาท แนะนำ ซื้อ TTB ให้ราคาเป้าหมายที่ 2.08 บาท           นายกรกช กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2568 จะเติบโตที่ 11,024 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 ที่อยู่ที่ 10,475 ล้านบาท แต่คาดจะทำได้ใกล้เคียง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ทำได้ 11,078 ล้านบาท ได้ปัจจัยหนุนจากอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ (Cost to Income Ratio) ที่ปรับตัวลดลง ช่วยชดเชย ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ที่คาดปรับตัวลง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.25% ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขณะที่คาดกำไรสุทธิจะใกล้เคียง YoY เนื่องจากคาดกำไรเงินลงทุนจะลดลง เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ SET Index ยังมีทิศทางที่ดีอยู่ แต่ในปีนี้ SET Index ปรับตัวลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี คาดส่งผลกระทบกับพอร์ตเงินลงทุนของ KTB แต่อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยหนุนจากในไตรมาส 1/2568 ไม่มีการตั้งด้อยค่าทรัพย์สินรอการขาย (Impairment) เหมือนในปีก่อนแล้ว           แนะนำ ถือ KTB ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 23.00 บาท รายงานโดย : พชรธร ภูมิคำ รองบรรณาธิการข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] WICE รับเต็มเร่งสต็อกหนีภาษี!

[Vision Exclusive] WICE รับเต็มเร่งสต็อกหนีภาษี!

           หุ้นวิชั่น - ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จุดกระแสความกังวลต่อการค้าและโลจิสติกส์ทั่วโลก ล่าสุดไปรษณีย์ฮ่องกงระงับส่งพัสดุไปยังสหรัฐฯ ตอบโต้มาตรการภาษี สะท้อนผลกระทบเชิงลึกถึงห่วงโซ่อุปทานโลก ด้านผู้บริหาร WICE ชี้แม้ E-Commerce จะได้รับผลกระทบบางส่วน แต่ยังไม่กดดันต่อค่าขนส่งในขณะนี้ประเมินเลื่อนขึ้นภาษี 90 วันกระตุ้นออเดอร์สั้น หนุนงบไตรมาส 2/68 ฟื้นตัวดี มั่นใจรายได้ไม่ต่ำกว่า 15% เดินหน้าให้บริการขนส่งครบวงจร ทั้งทางทะเล ทางอากาศ และข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน            การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นชนวนล่าสุดที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อการค้าโลก โดยเฉพาะเส้นทางโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ล่าสุดสำนักงานไปรษณีย์ฮ่องกงประกาศระงับการส่งพัสดุไปยังสหรัฐฯ ทั้งทางเรือและทางอากาศ เพื่อตอบโต้มาตรการภาษีดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบที่ลุกลามจากนโยบายภาษีสู่ภาคขนส่งในระดับโลก มุมมองผู้ประกอบการโลจิสติกส์            นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ พร้อมด้วยนางสาวบุศรินทร์ ต่วนชะเอม ผู้อำนวยการกลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า สถานการณ์การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกามีผลกระทบต่อภาคการขนส่งระหว่างประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยล่าสุดมีกรณีสำนักงานไปรษณีย์ฮ่องกงประกาศระงับการจัดส่งพัสดุที่จ่าหน้าถึงสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อภาคธุรกิจ E-Commerce เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจะมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับอัตราการขึ้นภาษีที่ประกาศใช้ ทั้งนี้ การเลื่อนมาตรการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ออกไปอีก 90 วัน กลับกลายเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นในระยะสั้น จากความต้องการสต็อกสินค้าไว้ล่วงหน้า ขณะที่อัตราค่าขนส่งในปัจจุบันยังไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี ต้องติดตามความชัดเจนของทิศทางนโยบายภาษีจากสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเจรจาต่อรอง ซึ่งประเทศไทยเองก็มีแนวโน้มที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการหารือเช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ            สำหรับเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปี 2568 บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า 15% แม้ในช่วงไตรมาส 1/2568 จะถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งมีปริมาณการขนส่งสินค้าลดลงจากปกติ อย่างไรก็ตาม บริษัทเชื่อมั่นว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 จะปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มการสั่งซื้อสินค้าในระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการสต็อกสินค้าก่อนความชัดเจนในมาตรการจัดเก็บภาษีจากฝั่งสหรัฐฯ ทั้งนี้ โครงสร้างรายได้ของบริษัทในปี 2568 คาดว่าจะมาจากการให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) ประมาณ 30–40% การขนส่งทางอากาศ (Air Freight) ราว 20% การขนส่งทางบกข้ามแดน (Cross Border Service) อีกประมาณ 20% และส่วนที่เหลือราว 10% มาจากบริการในกลุ่มซัพพลายเชนโซลูชั่นส์ (Supply Chain Solutions)            ในส่วนของการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันบริษัทมีปริมาณการจัดส่งไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าที่ขนส่งเป็นหลัก คือ ชิ้นส่วนยานยนต์ ขณะที่การให้บริการขนส่งทางบกข้ามแดนในภูมิภาคยังคงดำเนินได้อย่างราบรื่น หรือแม้แต่กระทั่งเมียนมา ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีปัญหาในการบริหารจัดการ อีกทั้งการค้าข้ามแดนยังคงให้ความสำคัญกับตลาดหลัก ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ลาว และเวียดนาม รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision

[Vision Exclusive] SPVI หมดห่วงภาษีทรัมป์  บุกตลาดการศึกษา Q2   

[Vision Exclusive] SPVI หมดห่วงภาษีทรัมป์ บุกตลาดการศึกษา Q2  

          หุ้นวิชั่น - SPVI ส่งสัญญาณบวก สหรัฐฯประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีจากทั่วโลก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ถูกนำเข้าจากประเทศอื่นกว่า 95% ลั่นไม่กระทบต้นทุน ด้านผู้บริหาร "ไตรสรณ์ วรญาณโกศล" เร่งเครื่องรับเปิดเทอม เดินหน้าบุกตลาดโครงการการศึกษา คาดหนุนยอดขาย Q2 พุ่งแรง พร้อมพลิกเกมรุกยอดขาย Android           นายไตรสรณ์ วรญาณโกศล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI เปิดเผยกับทีมข่าวหุ้นวิชั่นว่า จากกรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกเข้าสู่สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงกลุ่มสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์และการ์ดหน่วยความจำ บริษัทประเมินว่า มาตรการดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า และถือเป็นผลดีในภาพรวม           ทั้งนี้ สินค้าในกลุ่มอุปกรณ์สื่อสาร เช่น โทรศัพท์ไอโฟน รวมถึงวัสดุและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ ถูกนำเข้าจากประเทศอื่นกว่า 95% และเข้าสู่กระบวนการผลิตในประเทศจีน ทำให้ไม่ว่าจะมีการยกเว้นภาษีหรือเพิ่มภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ก็จะไม่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในไทยโดยตรง           อย่างไรก็ตาม หากมีการผลิตในจีนและส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจมีความจำเป็นต้องปรับราคาขายขึ้น เพื่อชดเชยภาระจากกำแพงภาษีที่สหรัฐฯ ตั้งขึ้น โดยหากดูจากสัดส่วนการจำหน่ายสินค้ากลุ่ม apple ในสหรัฐฯ และสร้างรายได้ คิดเป็นสัดส่วน 30-40%  แต่ในกรณีที่มีการส่งออกสินค้าจากจีนมายังประเทศไทย ราคาสินค้ายังคงมีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากไม่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าในระดับที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งราคาต้นทุนและราคาจำหน่ายสินค้าในประเทศยังคงอยู่ในระดับเดิม และไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นในระยะนี้           สำหรับทิศทางธุรกิจและการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารในประเทศช่วงเดือนเมษายนปีนี้ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทประเมินว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตลาด โดยเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารระบบ Android มากขึ้น พร้อมทั้งปรับโมเดลร้านค้าปลีก (Retail) ให้สอดคล้องกับเทรนด์ผู้บริโภคในปัจจุบัน           นายไตรสรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส 2/2568 ซึ่งเป็นช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มจำหน่ายสินค้าในรูปแบบโครงการ (Project-based) ได้เพิ่มขึ้น ล่าสุด บริษัทได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งแล้ว ทั้งนี้ คาดว่าการจำหน่ายสินค้าในลักษณะโครงการ จะเข้ามาช่วยสนับสนุนยอดขายเพิ่มเติมจากช่องทางรีเทลได้อย่างมีนัยสำคัญ รายงานโดย : มินตรา แก้วภูบาล บรรณาธิการข่าว mai สำนักข่าว Hoonvision

BBL กำไร Q1 โต 19.9% รายได้การลงทุนหนุน

BBL กำไร Q1 โต 19.9% รายได้การลงทุนหนุน

          หุ้นวิชั่น - ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อย หรือ BBL รายงานกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 1/2568 จำนวน 12,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่จากรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 31,909 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิร้อยละ 2.89 ซึ่งเป็นไปตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาด สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เพิ่มขึ้นจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี ประกอบกับกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรจากเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามสภาวะตลาด สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการให้ความสำคัญในการบริหารค่าใช้จ่าย ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 45.5 ทั้งนี้ ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2568 จำนวน 9,067 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน           ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2,720,983 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จากสิ้นปีก่อน จากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ สำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ซึ่งอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยมีอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 300.3 เป็นผลจากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสำรองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง           ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 3,225,131 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 84.4 ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ร้อยละ 21.0 ร้อยละ 16.5 และร้อยละ 15.8 ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด รายได้และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อย           ในไตรมาส 1/2568 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารจำนวน 12,618 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.3 จากไตรมาสก่อน จากการที่ธนาคารมีแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลาย โดยรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวม ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงตามภาวะอัตราดอกเบี้ย สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลงจากการบริหารค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใต้หลักความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง หากเทียบกับไตรมาส 1/2567 ธนาคารมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 ส่วนใหญ่จากรายได้จากการดำเนินงาน โดยมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิจากการลงทุนตามสภาวะตลาด ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ย สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยธนาคารยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสนี้ธนาคารมีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน รายได้ดอกเบี้ยสุทธิ           ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 1/2568 จำนวน 31,909 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันปีก่อน ส่วนใหญ่จากรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อสอดคล้องกับภาวะอัตราดอกเบี้ย สำหรับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 2.89 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย           ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยในไตรมาส 1/2568 จำนวน 13,745 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ส่วนใหญ่จากกำไรสุทธิจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หากเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและกำไรสุทธิจากเงินลงทุนตามสภาวะตลาด ประกอบกับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ เพิ่มขึ้นจากการอำนวยสินเชื่อและบริการประกันผ่านธนาคารและบริการกองทุนรวมที่ยังคงเติบโตดี

โบรกฯ มอง TISCO ปันผลยังเด่น แม้แนวโน้ม Q2 สินเชื่อลดลง

โบรกฯ มอง TISCO ปันผลยังเด่น แม้แนวโน้ม Q2 สินเชื่อลดลง

        หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุ TISCO ยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อในทุกกลุ่ม จากเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ทำให้แนวโน้มสินเชื่อรวมในช่วง 2Q25 อาจลดลง q-q TISCO มอง yield on loan ลดลงต่อในช่วงที่เหลือของปี จากดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง และการช่วยเหลือลูกหนี้จากโครงการ คุณสู้ เราช่วย TISCO มองว่าค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) มีแนวโน้มต่ำกว่าที่ตั้งเป้าที่ 1.0-1.2% จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ และการได้ประโยชน์จากโครงการ คุณสู้ เราช่วย TISCO มั่นใจสามารถรักษาระดับการจ่ายปันผลระดับสูง ความเห็นมองเป็น กลาง แม้ว่า yield on loan มีแนวโน้มต่ำกว่าฝ่ายวิจัยคาด แต่จะถูกชดเชยกับค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) ที่ต่ำกว่าคาดเช่นกัน พร้อมยังคงมอง TISCO เป็นหุ้นปันผลเด่น

BGRIM โชว์ผู้นำพลังงานสะอาด งาน Sustainability Week Asia 2025

BGRIM โชว์ผู้นำพลังงานสะอาด งาน Sustainability Week Asia 2025

          หุ้นวิชั่น - บี.กริม เพาเวอร์ ร่วมงาน Sustainability Week Asia 2025 ครั้งที่ 4 ฉายวิสัยทัศน์ ตอกย้ำผู้นำพลังงานสะอาด ก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero           นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์จากัด (มหาชน) หรือ BGRIM ร่วมเสวนาในงาน Sustainability Week Asia ครั้งที่ 4 จัดโดย Economist Impact ภายใต้ธีม From Idealism to Pragmatism รวบรวมผู้นำด้านความยั่งยืนจากทั่วโลกกว่า 1,000 คน ร่วมเจาะลึกถึงประเด็นสำคัญที่กำลังผลักดันการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจ ทั้งในเรื่องของการบรรลุเป้าหมายด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างยั่งยืน การสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน และการบริหารทรัพยากรอย่างเท่าเทียม เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ เมื่อวันที่ 25-26 มีนาคม 2568 ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก           นายนพเดช กรรณสูต กล่าวในเวทีเสวนาหัวข้อ "Empowering the New Digital Ecosystem with Clean Energy" ว่าจากสถานการณ์ด้านพลังงานในโลกปัจจุบัน ธุรกิจในหลายภาคส่วนทั่วโลกกลายเป็นดิจิทัลมากขึ้น ทำให้ความต้องการในการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลพุ่งสูงขึ้น รวมถึงมีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะภาคธุรกิจ “ดาต้าเซ็นเตอร์” ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบคลาวด์ ปัญญาประดิษฐ์ และบริการดิจิทัลในรูปแบบ Generative AI ซึ่งเป็นธุรกิจที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมหาศาลและมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ สำหรับ บี.กริม เพาเวอร์ หนึ่งในผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของประเทศไทย ภายใต้วิสัยทัศน์ “สร้างพลังให้กับสังคมโลกด้วยความโอบอ้อมอารี” (Empowering the World Compassionately) มุ่งผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งปัจจุบันตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พื้นที่ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ที่เติบโต 9% ต่อปี โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากสิทธิประโยชน์ทางภาษี เทคโนโลยี ตำแหน่งยุทธศาสตร์และ โครงสร้างพื้นฐานที่ดี บวกกับแรงงานที่มีทักษะ และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง เหมาะในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัล โดยกลยุทธ์ของดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อให้การใช้พลังงานเติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ ตลอดจนพื้นที่มีความปลอดภัยจากภัยพิบัติธรรมชาติ พร้อมร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญท้องถิ่นเพื่อจัดการกฎระเบียบและโครงสร้างพื้นฐาน           นอกจากนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา Green Data Centre ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก เพื่อสร้างระบบพลังงานแบบบูรณาการที่ใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับเทคโนโลยีกริดอัจฉริยะและแบตเตอรี่สำรอง เพิ่มเสถียรภาพของระบบไฟฟ้าและสนับสนุนนโยบายรัฐในการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคดิจิทัล พร้อมขับเคลื่อนอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน           ในฐานะผู้นำด้านการผลิตไฟฟ้าเอกชน สิ่งที่เป็นหัวใจความสำเร็จของ บี.กริม เพาเวอร์ คือ การสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนส่วนรวมในทุกพื้นที่ที่เข้าไปดำเนินการ อาทิ การสนับสนุนโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ซึ่งเป็นโครงการที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงนำแนวคิดมาจากโครงการ “Haus Der Kleinen Forscher ” ประเทศเยอรมนี มาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และสนุกกับวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ระดับปฐมวัย (อายุ 3-6 ปี) นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้พนักงานมีส่วนร่วมเป็น “นักวิทยาศาสตร์พี่เลี้ยง” เข้าร่วมฝึกอบรมและทำกิจกรรมร่วมกับครูในโรงเรียนเครือข่าย บี.กริม ซึ่งเป็นโรงเรียนในบริเวณใกล้เคียงสถานประกอบการของ บี.กริม เพาเวอร์ กว่า 138 แห่ง โดยตลอด 147 ปี “บี.กริม” มุ่งมั่นในการทำธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนและสังคมไทย โดยเน้นไปที่ค่านิยมหลัก 4 ประการ (4Ps Core Values) คือ 1.การมีทัศนคติที่ดี (Positivity) 2.ความร่วมมือกัน (Partnership) 3.ความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) และ 4.ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Pioneering Spirit)           นอกจากนี้ บี.กริม เพาเวอร์ ได้จัดงาน Exclusive Gala Dinner โดยนายนพเดชได้ร่วมเสวนากับ Molly Ferrill ช่างภาพสัตว์ป่าระดับโลก ภายใต้หัวข้อ “In Harmaony with Compassion: a Brighter Future for Business, People and Planet.” ภายในงาน Sustainability Week Asia เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2025 ณ ห้อง Crystal Hall A, ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ซึ่งภายในงานได้มีการแสดงดนตรีคลาสสิกจากวง RBSO สะท้อนถึง จุดเริ่มต้นของ บี.กริม ที่มุ่งดำเนินธุรกิจควบคู่การลดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม           “การดำเนินธุรกิจด้วยความโอบอ้อมอารี ถือเป็นค่านิยมหลักมาตั้งแต่ต้น ปรัชญานี้ยังคงขับเคลื่อนการดำเนินงานของบี.กริม เพาเวอร์ ในปัจจุบัน โดยเน้นการบูรณาการแนวคิดความยั่งยืนไว้ในกลยุทธ์ พร้อมให้ความสำคัญกับผลกระทบระยะยาวมากกว่ากำไรระยะสั้น เพื่อการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวม ด้วยแนวปฏิบัติที่มีความรับผิดชอบและความโอบอ้อมอารี” นายนพเดช กล่าว [PR News]

TASCO คาดกำไร Q1 ดีด หลังรัฐเบิกจ่ายงบคล่อง ปักเป้า 21 บ.

TASCO คาดกำไร Q1 ดีด หลังรัฐเบิกจ่ายงบคล่อง ปักเป้า 21 บ.

                  หุ้นวิชั่น - บล.เอเซียพลัส จับตาหุ้น TASCO โดยคาด 1Q68 กำไรสุทธิ 456 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดเทียบกับ 1Q67 ที่มีกำไรเพียง 8 ล้านบาท หลังการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเข้าสู่วงรอบปกติ โดยสภาพคล่องของผู้รับเหมาที่ดีขึ้น น่าจะทำให้ TASCO โอนกลับค่าเผื่อหนี้สูญคืนมาได้ 60 ล้านบาท • งวด 1Q68 TASCO นำเข้า Crude 1 Cargo เพียงพอใช้เป็นวัตถุดิบกลั่นยางมะตอยเกรดพรีเมียมอย่างน้อยถึง 3Q68 โดยสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงมาก น่าจะทำให้การจัดหา Feedstock ในปีนี้ของ TASCO ทำได้ดีกว่าปีก่อน • ตลาดยางมะตอยในประเทศปีนี้ได้แรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่มีความราบรื่นมากกว่าปีก่อน โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับยางมะตอยเพิ่มขึ้น 5% YoY ทำให้ธุรกิจยางมะตอยกลับสู่วงจรปกติ เริ่มไฮซีซั่นตั้งแต่ไตรมาส 1 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 • แม้ยังไม่เห็นจุดเปลี่ยนที่มีนัยฯ ตราบที่ TASCO ยังไม่สามารถซื้อ Crude จากเวเนซุเอลาได้ แต่พื้นฐานธุรกิจโดยรวมถือว่าแข็งแกร่งมากขึ้นจากการเพิ่มขีดความสามารถของโรงกลั่นยางมะตอยที่มาเลเซียให้สามารถรองรับ Feedstock ที่หลากหลายได้ • มีมุมมองธุรกิจเป็นบวกในปี 2568 คาดกำไรจะเติบโต 13% YoY ให้น้ำหนักการลงทุน Outperform ประเมินราคาเหมาะสม 21.00 บาท อิง PBV เฉลี่ยย้อนหลัง -0.5 SD

JMART ขายหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย 5.50% สงครามไม่กระทบ - ผลงานโต

JMART ขายหุ้นกู้ ชูดอกเบี้ย 5.50% สงครามไม่กระทบ - ผลงานโต

           JMART เสนอขายหุ้นกู้ 2 ปี 6 เดือน เคาะดอกเบี้ยคงที่ 5.50% ต่อปี เปิดจอง 17-18 และ 21 เม.ย. 68 ผ่าน 11 สถาบันการเงินชั้นนำ หนุนความแข็งแกร่งทางการเงิน ย้ำเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสงครามการค้าไม่กระทบธุรกิจ พร้อมเดินหน้าเติบโตต่อเนื่อง            บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาว ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ เสนอขายต่อผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) โดยหุ้นกู้ที่เสนอขายในครั้งนี้ มีอายุ 2 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.50% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าการเสนอขายรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,000 ล้านบาท เสนอขายระหว่างวันที่ 17-18 เมษายน และ 21 เมษายน พ.ศ. 2568            ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2568 อันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทยังได้รับการปรับแนวโน้มจาก "ลบ" เป็น "คงที่" ที่อันดับเครดิต BBB+ จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด โดยทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้สินรวมของบริษัท ซึ่งวัดโดยอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA ที่ปรับปรุงแล้วจะลดลงจาก 3.8 เท่าในปี 2567 เป็น 3.4 เท่าในปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากการคาดการณ์ว่าหนี้สินรวมของบริษัทจะลดลง นอกจากนี้สำหรับหุ้นกู้ JMART ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2568 ที่อันดับเครดิต BBB แนวโน้มคงที่ โดยกลุ่มบริษัทมีนโยบายให้ความสำคัญกับการชำระหนี้มากกว่าการขยายการลงทุนในปี 2568 สะท้อนถึงแนวทางที่รอบคอบในการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ท้าทาย            โดยหุ้นกู้ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการเสนอขายหุ้นกู้ ดังนี้ เพื่อนำไปคืนเงินกู้ยืมให้กับสถาบันการเงิน เพื่อชำระคืนดอกเบี้ยหุ้นกู้ เพื่อกระแสเงินสดสำหรับเงินกู้ยืมให้กับบริษัทย่อยภายในกลุ่มบริษัท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและบริษัทย่อย            นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยว่า ถึงแม้ประเทศไทยจะเผชิญปัญหาแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา แต่ JMART รวมถึงธุรกิจในกลุ่มบริษัทไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด สามารถให้บริการได้ตามปกติ หรือแม้ว่าสหรัฐฯ จะประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้า กลุ่มบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจาก ธุรกิจของกลุ่มบริษัทไม่ได้มีการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ โดยกลุ่มลูกค้าหลักของกลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าที่อยู่ในประเทศไทย            โดย JMART ย้ำความมั่นใจ ในปี 2568 กลุ่มบริษัทพร้อมจะเติบโตด้วยเทคโนโลยี หรือแพลตฟอร์มอันทรงพลัง ที่สามารถหาลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ให้รีเทิร์นผลตอบแทนที่สูง อีกทั้งยังบริหารความเสี่ยงได้ด้วย NPL ในระดับต่ำ ล่าสุด สินเชื่อ Samsung Finance+ ภายใต้การบริหารของบริษัท KB J Capital และสินเชื่อ SG Finance+ โดยการบริหารของ SGC ได้รับการตอบรับที่ดีจากทั้งดีลเลอร์ และลูกค้าทั่วประเทศมียอดขายรวมกันมากกว่า 1.57 ล้านเครื่องในปี 2567 ที่ผ่านมา ส่วนธุรกิจศูนย์การค้าชุมชนภายใต้การบริหารของ บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ (“J”) กลุ่มบริษัทมั่นใจในโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ที่สามารถตอบโจทย์ชุมชนได้ต่อเนื่อง และเป็นแหล่งรับรู้รายได้ที่ยั่งยืน โดยในปีที่ผ่านมาเปิดศูนย์การค้าชุมชนเพิ่มได้อีก 2 ศูนย์การค้า คือ โครงการแจส กรีน วิลเลจ ประเวศ และโครงการ แจส กรีน วิลเลจ รามคำแหง ซึ่งคาดว่าจะสร้างการรับรู้รายได้เต็มปีได้ภายในปี 2568 นี้            สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้บริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด โทร. 02-680-4004 บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050 บริษัทหลักทรัพย์ บลูเบลล์ จำกัด โทร. 02-249-2999 บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-205-7000 ต่อ 7387 บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด โทร. 02-695-5555 บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675 บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-351-1800 บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-820-0100 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-8945 บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-660-6624 บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โทร. 02-687-7543 หมายเหตุ: การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

โครงสร้างการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ

โครงสร้างการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ

วิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้นของนโยบายการค้าโลกต่อเศรษฐกิจไทย นโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลัก จะส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าโลกอย่างมีนัย สถานการณ์คาดว่าจะยืดเยื้อ โดยผลกระทบจะส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยในหลายช่องทาง และใช้เวลากว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน ในระยะสั้น ตลาดการเงินผันผวนขึ้น เริ่มเห็นการผลิต การค้า และการลงทุนบางส่วนชะลอเพื่อรอความชัดเจน ขณะที่จะเห็นผลของ tariff ต่อการส่งออกมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ ความรุนแรงของผลกระทบจะขึ้นกับภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บเทียบกับประเทศคู่ค้า และการตอบโต้ระหว่างประเทศเศรษฐกิจหลักและสหรัฐฯ ซึ่งผลต่อเศรษฐกิจการเงินไทยจะมีผ่าน 5 ช่องทางหลัก ดังนี้ 1. ตลาดการเงิน:ราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโลกและไทยผันผวนมากขึ้น โดยรวมสภาพคล่องและกลไกการทำธุรกรรม (market functioning) ยังเป็นไปตามปกติ ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นจากช่วงก่อนวันที่ 2 เมษายน เล็กน้อย (2.71% ณ 12.00 น. 17 เม.ย. 68 เทียบกับ JPY และ KRW ที่แข็งค่าขึ้น 4.75% และ 3.11% ตามลำดับ) สอดคล้องกับภูมิภาค ตามค่าเงิน USD ที่อ่อนเร็วจากความกังวลต่อผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนตลาดหุ้นปรับลดลงสอดคล้องกับภูมิภาค ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่เห็นการทำธุรกรรมที่ผิดปกติจากกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ในส่วนของภาวะการระดมทุนผ่านหุ้นกู้โดยรวมยังเป็นปกติ โดยต้องติดตามผลจากภาวะการเงินต่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก tariff อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี 2. การลงทุน:ความไม่แน่นอนที่ยังสูงต่อเนื่องทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจและการลงทุนชะลอออกไป (wait and see) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นหลัก (อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และยานยนต์) ซึ่งเริ่มเห็นผลดังกล่าวบ้างแล้ว จากการหารือกับผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าว มีบางส่วนรอความชัดเจนเพื่อตัดสินใจการลงทุนใหม่จากแผนเดิมที่วางไว้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่น อาจเห็นการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย 3. การส่งออก:เป็นช่องทางหลักที่ได้รับผลกระทบจาก tariff แต่ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี เพราะมีการชะลอการบังคับใช้ reciprocal tariff ออกไป 90 วัน จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป และน่าจะเห็นการเร่งส่งออกใน Q2 เช่น อาหารแปรรูป โดย exposure ของการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และคิดเป็น 2.2% ของ GDP โดย sector หลัก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป นอกจากนี้ จะมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยที่อยู่ใน supply chain ของโลก ที่ผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ด้วย (ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็ก และเคมีภัณฑ์ คิดเป็นประมาณ 4.3% ของการส่งออกไทย) 4. การแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้น:สินค้าไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้น้อยลง และหันมาส่งออกไปยังตลาดเดียวกับไทย รวมถึงส่งมายังไทย โดยเฉพาะหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โลหะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่มีอยู่เดิม 5. เศรษฐกิจโลกที่จะชะลอลง:การส่งออกโดยรวมและรายรับการท่องเที่ยวอาจถูกกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะปรับลดลง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและเงินเฟ้อของไทยชะลอลงจากปัจจัยด้านอุปทาน ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามสถานการณ์ภาพรวมอย่างใกล้ชิด และจะจับตาโอกาสที่อาจเกิด disruption ใน sector สำคัญที่ส่งออกไปสหรัฐฯ รวมถึงการเข้ามาแข่งขันของสินค้านำเข้า โดยจะติดตามข้อมูลเร็วด้าน(1) การค้า เช่น ธุรกรรมการส่งออกและนำเข้า(2) การผลิตและการจ้างงาน เช่น การแจ้งหยุดกิจการชั่วคราว ตาม ม.75 พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ(3) ภาวะการเงิน เช่น ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้และต้นทุนการกู้ยืมผ่านหุ้นกู้ภาคเอกชน(4) sentiment การลงทุน เช่น การขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนและการขอขยายเวลาการออกบัตรฯ เพื่อเลื่อนการลงทุนออกไป นอกจากนี้ ธปท. จะดูแลการทำงานของกลไกตลาดต่าง ๆ (market functioning) ให้ดำเนินเป็นปกติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดูแลความผันผวนในตลาดการเงินที่สูงกว่าปกติในช่วงนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจริง อนึ่งนโยบายการค้าโลกที่เปลี่ยนไป ถือเป็นปัจจัยที่จะเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยและโลกอย่างถาวร ทำให้ต้องเร่งปรับตัว โดยในระยะสั้น นอกจากเรื่องการเร่งเจรจากับสหรัฐฯ ไทยควรมีมาตรการรับมือ ทั้งการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศ และป้องกันการนำเข้าสินค้ามาเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ผ่านไทย (transshipment) เช่น กำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าและความคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ การเร่งรัดกระบวนการไต่สวน (AD/CVD และ AC) ข้อพิพาทกับต่างประเทศ การเข้มงวดกับการตรวจสอบสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ ป้องกันการสวมสิทธิจากประเทศที่สาม เป็นต้น ในระยะยาวไทยควรขยายตลาดและเสริมสร้าง supply chain โดยเฉพาะกับประเทศในภูมิภาค และต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้แข่งขันในห่วงโซ่อุปทานของโลกได้ เช่น ยกระดับภาคการผลิตและภาคบริการที่ไทยมีศักยภาพ เช่น สินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยเฉพาะการวิจัยและนวัตกรรม ทักษะแรงงาน และการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค สัดส่วนการส่งออกรายสินค้าและรายตลาดของไทยปี 2567 สินค้า อาเซียน สหรัฐฯ จีน สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น อื่นๆ รวม 23.3 18.3 11.7 8.1 7.7 30.8 อิเล็กทรอนิกส์ 1.7 5.1 1.3 1.7 0.5 3.1 เครื่องใช้ไฟฟ้า 1.6 2.6 0.3 0.9 1.0 2.4 เครื่องจักร 1.4 2.2 0.6 1.2 0.9 2.3 ยานยนต์และชิ้นส่วน 3.3 2.0 0.2 0.9 0.8 7.4 เกษตรและเกษตรแปรรูป 4.1 1.6 3.9 0.8 1.5 4.9 เหล็กและโลหะ 1.3 0.8 0.8 0.3 0.6 1.5 ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 2.2 0.6 1.3 0.2 0.8 2.0 ยางและผลิตภัณฑ์ยาง 0.4 0.5 1.5 0.4 0.3 0.8 สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 0.5 0.4 0.1 0.2 0.2 0.6 อื่นๆ 6.9 2.4 1.7 1.5 1.1 5.8 ที่มา: กรมศุลกากร คำนวณโดย ธปท.

SCGP คาด Q1 กำไรฟื้น  โบรกเคาะพื้นฐาน 16 บ.

SCGP คาด Q1 กำไรฟื้น โบรกเคาะพื้นฐาน 16 บ.

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์  คาด SCGP กำไร 1Q68F ฟื้นตัว QoQ ตามปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนมีหยุดซ่อมบำรุง + ต้นทุนกระดาษลดลงมาก + ผลขาดทุนของ Fajar ลดลง ▪ แนวโน้มกำไร 2Q68F ดีขึ้นอีกตามปริมาณขายเพิ่มขึ้น และผลบวกระยะสั้นจากการเลื่อนเก็บภาษีการค้าออกไป 90 วัน ทำให้ความต้องการสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นมาก ▪ หุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าบัญชี P/B 0.7x, P/E 15x ▪ แนวรับ=12.2/12.4 แนวต้าน=13.5/13.7 SCGP | ซื้อ | TP=16 บ.

PTT กำไรผันผวนน้อยสุดกลุ่ม เล็งหาพันธมิตรเสริมแกร่ง เป้า 34 บ.

PTT กำไรผันผวนน้อยสุดกลุ่ม เล็งหาพันธมิตรเสริมแกร่ง เป้า 34 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์  ระบุ PTT ประกาศจ่ายเงินปันผลทั้งปีเพิ่มขึ้นเป็น 2.1 บ./หุ้น D/P 6.8% และคาดรักษาเงินปันผลระดับนี้ไว้ได้ในปีถัดๆ ไป ตามฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ▪ อยู่ระหว่างการหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ P&R (IRPC, PTTGC, TOP) เพื่อสร้างความสามารถการแข่งขันให้สูงขึ้น ▪ โครงการซื้อหุ้นคืนจะช่วยจำกัดการปรับลงของราคาหุ้น ขณะที่กำไรของ PTT จะผันผวนน้อยกว่าหุ้นพลังงานอื่น ▪ แนวรับ=30/30.25 แนวต้าน=32.5/33 PTT | ซื้อ | TP=34 บ.

KTC คาดกำไร Q1 โต YoY  Easy e-receipt กระตุ้นใช้บัตร

KTC คาดกำไร Q1 โต YoY Easy e-receipt กระตุ้นใช้บัตร

           หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ระบุ KTC รับประโยชน์จากมาตรการ Easy e-receipt ช่วง 16 ม.ค.-28 ก.พ.68 กระตุ้นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต โดยผู้บริหารเผยตัวเลขยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรช่วง 1Q68 เติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน ทำให้คาดกำไร 1Q68F มีโอกาสโต YoY ▪ หันมาเน้นเจาะกลุ่มลูกค้า Hi-end ในธุรกิจบัตรเครดิต ถือเป็นลูกค้าชั้นดี ทำให้คุมคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี โดย ณ สิ้นปี 67 มี NPL เพียง 1.95% ▪ รับประโยชน์ต้นทุนดอกเบี้ยลดลง หลังได้ปรับอันดับเครดิตขึ้นเป็น AA และมีแนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลงหลายครั้งในปีนี้ ช่วยหนุนกำไรปีนี้มีโอกาสทำนิวไฮต่อเนื่องได้ตามเป้า ▪ แนวรับ=43.5/44 แนวต้าน=46/47.5 KTC | ซื้อ | TP=51 บ.

KTB คาดกำไรโตต่อเนื่อง  ปันผลเด่น 7% เป้า 25.90 บ.

KTB คาดกำไรโตต่อเนื่อง ปันผลเด่น 7% เป้า 25.90 บ.

          หุ้นวิชั่น - ทีมข่าวหุ้นวิชั่น รายงานว่า บล.แลนด์ แอนด์ เฮาส์ คาด KTB กำไร 1Q68F ยังโตได้ทั้ง QoQ และ YoY บนคาดการณ์ credit cost ที่ลดลง และคุม cost to income ได้ดี ▪ พร้อมประกาศเป้าหมายปี 68 ตั้งเป้าสินเชื่อทรงตัว NIM ที่ 2.9-3.2% คุม cost to income < 45% และคุม NPL < 3.25% บน Credit Cost ที่ 105-125% ▪ ถือเป็นธนาคารที่มี ROE สูงเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม และถือเป็นหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงราว 7% ▪ แนวรับ=21.4/21.5 แนวต้าน=22.6/23            KTB | ซื้อ | TP=25.90 บ.